จากปัญหาวิกฤตโควิด-19 และภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ความสวยงามและการใช้งานอาจไม่เพียงพอเสียแล้วสําหรับการออกแบบสวนในปัจจุบัน สิ่งสําคัญคือสวนนั้นต้องช่วยให้เรามีชีวิตรอดในสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง คําว่า“Permaculture”จึงเริ่มเป็นที่พูดถึงกันในวงกว้างทั่วทั้งโลก ใครที่ยังไม่เคยรู้จักหรือรู้จักเพียงผิวเผิน เรามาเริ่มทําความรู้จักไปพร้อมๆกันเลย

ที่มาที่ไป
เพอร์มาคัลเจอร์เกิดขึ้นเมื่อราวปีค.ศ.1978 โดยบิลมอลลิสันและ มาซาโนบุ ฟุกุโอกะ ซึ่งต้องการศึกษาหาแนวทางที่สมบูรณ์ที่สุดเพื่อทําการเกษตรแบบยั่งยืน(Permanent Agriculture) ต่อมาจึงได้เกิดความเข้าใจว่า การจะทําการเกษตรรูปแบบนี้จําเป็นต้องทําวิถีชีวิตในทุกด้านให้ยั่งยืนด้วย แนวคิดดังกล่าวเริ่มแพร่หลายไปจนเป็นที่ยอมรับและศึกษาต่อไปในชุมชนต่างๆ โดยเฉพาะประเทศในแถบตะวันตก หากจะสรุปสั้นๆ เพอร์มาคัลเจอร์คือการทําเกษตรกรรมผสมผสานรูปแบบหนึ่งที่คนไทยก็คุ้นเคย ขนานไปกับวิถีชีวิตที่เป็นการรวมศาสตร์ในด้านต่างๆมาใช้ออกแบบวัฒนธรรมในทุกด้านของการดํารงชีวิตประจําวัน เพื่อผลิตอาหารและพลังงานให้อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างเกื้อกูล พร้อมรับมือสู่อนาคตที่อาจเกิดเหตุการณ์ไม่แน่นอนและปัญหาพลังงานที่ลดลงไปในทุกวัน จะเห็นได้ว่าองค์ความรู้ของวิถีชีวิตแบบเพอร์มาคัลเจอร์ไม่มีหลักตายตัว สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม สถานการณ์หรือความเหมาะสม เราได้รวบรวมไอเดียที่น่าสนใจของวัฒนธรรมสวนแบบเพอร์มาคัลเจอร์ที่สามารถประยุกต์ใช้กับสวนที่บ้านคุณได้ไม่ยาก ดังนี้


ลําดับการวางผังสวน
การวางผังหรือแบ่งสัดส่วนภายในสวนเป็นหัวใจสําคัญของการทําสวนแบบเพอร์มาคัลเจอร์รูปแบบที่นิยมทํากันจะเริ่มจากการเลือกบริเวณที่ตั้งของบ้านที่อยู่อาศัยให้อยู่ตรงกลาง มีทางเข้า-ออกที่เชื่อมกับพื้นที่สาธารณะได้สะดวก ก่อนกําหนดโซนอื่นๆให้แผ่ออกเป็นรัศมีวงล้อมขยายซ้อนออกไปเรื่อยๆ โดยแต่ละลําดับของชั้นต่างๆ ด้านที่อยู่ใกล้ที่อยู่อาศัยคือการทําเกษตรที่ต้องการการดูแลหรือนํามาใช้ประโยชน์มากที่สุด เช่น ผักสวนครัว เลี้ยงสัตว์ ขณะที่วงนอกสุดออกแบบให้มีลักษณะเป็นสวนป่าเพื่อรักษาและสร้างความเชื่อมโยงกับระบบนิเวศเดิมหรือสวนป่าที่อยู่รอบๆ ทําให้สิ่งมีชีวิตสามารถใช้พื้นที่ในบริเวณนี้แบบเชื่อมถึงกันได้
การวางผังในลักษณะนี้นอกจากจะง่ายต่อการจัดการดูแลสวนที่ใช้พลังงานน้อยลงแล้ว ยังสอดคล้องกับการวางระบบอื่นๆ ทั้งการระบายน้ํา ให้แสงสว่าง และสาธารณูปโภค ซึ่งในโซนต่างๆที่มีกิจกรรมที่สามารถผลิตปัจจัย4ในการดํารงชีวิตได้ ทั้งผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ เพื่อใช้ทําอาหาร ต้นไม้ที่มีใยหรือสีสําหรับทําเครื่องนุ่งห่ม ไม้หรือดินสําหรับก่อสร้างที่อยู่อาศัย และสมุนไพรสําหรับเป็นยารักษาโรค สร้างวงจรทรัพยากรที่เลียนแบบธรรมชาติ เกิดการหมุนเวียนทรัพยากรกันในพื้นที่

ป่าอาหาร
บางครั้งการทําเกษตรกรรมก็เป็นการทําลายทรัพยากรและความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่ทําลายความหลากหลายทางชีวภาพและเพิ่มสารเคมีที่ก่อให้เกิดมลพิษ หรือการเปลี่ยนแปลงที่ผิดแปลกไปจากในธรรมชาติ ไม่นับการใช้ประโยชน์ที่ดินในรูปแบบอื่นที่ไม่มีที่สิ้นสุด นั่นจึงเป็นที่มาของการออกแบบจัดวางพรรณไม้และรูปแบบการปลูกให้มีความใกล้เคียงกับในธรรมชาติให้มากที่สุดโดยเฉพาะบริเวณขอบเขตรอบที่ดินซึ่งมีหลักการปลูกต้นไม้หลากหลายชนิดร่วมกัน เพื่อให้รากต้นไม้สามารถยึดเหนี่ยวกันทั้งแนวดิ่งและแนวแผ่เพิ่มประสิทธิภาพของการยึดดิน เพิ่มสารอาหารในดิน ขณะเดียวกันเราก็สามารถเก็บผลผลิตและใช้ประโยชน์ได้หลากหลายมากยิ่งขึ้นในขนาดพื้นที่ที่ไม่ต้องใหญ่มากนัก โดยมีแนวทางในการปลูกต้นไม้ 7 ระดับในสวน ดังนี้
ไม้เรือนยอด เป็นต้นไม้อายุยืนขนาดใหญ่สามารถนําไปใช้ทําเครื่องเรือนหรือผลิตอาหารและยารักษาโรคได้ เช่น ยางนา มะค่า สัก สะตอ เหลียง พะยูง มะพร้าว หมากสง
ไม้ผล ไม้ยืนต้นระดับกลางที่ให้ผลผลิตสําหรับเก็บเกี่ยวตามฤดูกาล และใช้ไม้ทําเป็นเชื้อเพลิงหรือเครื่องเรือนที่ไม่ต้องการความแข็งแรงมาก เช่น ขนุน ทุเรียน ลําไย กล้วย มะละกอ ไผ่ มะม่วง มังคุด ลิ้นจี่
ไม้พุ่ม ส่วนมากจะเป็นไม้พุ่มที่สามารถนํามาใช้เป็นอาหารหรือยาสมุนไพรได้ สามารถปลูกแทรกสลับกันไปกับต้นไม้ใหญ่ได้ เช่น มะนาว ตะลิงปลิง ชุมเห็ดเทศ ชะอม
ไม้ล้มลุก พวกผักชนิดต่างๆและไม้ดอกที่มีอายุสั้น โดยเป็นที่อยู่อาศัยและล่อแมลงขนาดเล็กให้มาอยู่อาศัยแทนการกัดกินผลผลิต ซึ่งแต่ละชนิดก็สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้ต่างกัน เช่น โหระพา พริก กะเพรา คราม ดาวเรือง
ไม้หัว ใช้เป็นอาหารบริโภคหัวและสมุนไพร บางชนิดมีช่วงพักตัว เปิดโอกาสให้ต้นไม้ชนิดอื่นขึ้นแทรกได้ เช่น ขิง ข่า กระชาย ตะไคร้ว่านหลายชนิด มันเทศ หัวไช้เท้า
ไม้คลุมดิน เป็นอาหาร สมุนไพร และสร้างความชุ่มชื้นให้ดิน เช่น บัวบก อ่อม พลู ผักเป็ดเขียว ผักเป็ดแดง ขาไก่
ไม้เลื้อย สามารถปลูกแซมให้เกาะเกี่ยวต้นไม้ระดับอื่นได้ง่ายโดยใช้พื้นที่ไม่มาก เพื่อเก็บผลผลิตและความสวยงาม เช่น พริกไทย ตําลึง มะระ ถั่วชนิดต่างๆ
นอกจากนี้ยังควรรักษาพวกต้นไม้อิงอาศัย ทั้งกล้วยไม้ เฟินบางชนิด และมอสส์ที่อาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือนํามาเพาะปลูกเพื่อรักษาและสร้างคุณค่าจากความหลากหลายทางระบบนิเวศของสวนแห่งนี้



จัดการน้ำ
การออกแบบสวนเพอร์มาคัลเจอร์มองเห็นความสําคัญของน้ํา จําเป็นต้องออกแบบการรดน้ํา การระบายน้ําและบําบัดน้ํา เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรน้ําอย่างคุ้มค่าและเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เริ่มต้นจากน้ําเสียในครัวเรือนจะไหลผ่านร่องน้ําหรือทางระบายน้ําไปสู่ภายนอก ระหว่างทางจะผ่านดินริมตลิ่งและไม้น้ําที่ขึ้นเองตามธรรมชาติซึ่งช่วยดักจับและกรองตะกอนได้ในระดับหนึ่ง โดยสามารถขุดทางระบายน้ําให้ไหลผ่านที่ดินทุกแปลงเพื่อกระจายความชื้น สอดคล้องกับการวางผังให้พืชที่เก็บผลผลิตอยู่ใกล้ เพื่อได้รับน้ําในปริมาณมากกว่าไม้ยืนต้นที่อยู่รอบนอก ซึ่งมีรากลึกสามารถหาน้ําเองได้มากกว่า แต่ต้องระวังไม่ให้น้ําเสียไปปนเปื้อนกับน้ําใต้ดินในธรรมชาติก่อนไปเก็บรวบรวมสู่บ่อรวมขนาดใหญ่ที่มักใช้การจัดการบําบัดแบบบึงประดิษฐ์ โดยการนําน้ําไปดักตะกอน บําบัดด้วยพืชน้ําและจุลินทรีย์หลายระดับ เพื่อไหลเวียนไปเป็นน้ําดีสําหรับกรองเพื่อใช้อุปโภคบริโภคต่อไป รวมถึงใช้รดน้ําต้นไม้
นอกจากนี้น้ําสะอาดที่สามารถกักเก็บและนํามาใช้ได้เสมอคือน้ําฝน ซึ่งควรทําบ่อหรือแท็งก์เก็บน้ําประเภทดังกล่าวเพื่อใช้ในฤดูแล้งตลอดทั้งปีหากจําเป็นสามารถใช้น้ําบาดาลได้ แต่ต้องใช้อย่างประหยัดและผ่านการขออนุญาตทางกฎหมายอย่างถูกต้อง



จัดการระบบนิเวศให้เกื้อกูลกัน
การจะอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืนจําเป็นต้องแก้ไขความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศให้กลับมาอย่างสมบูรณ์ด้วย ทั้งธาตุอาหารในดิน คุณภาพน้ํา และมลพิษทางอากาศ นอกจากการปลูกต้นไม้หลายระดับ เรายังสามารถออกแบบสวนให้เกิดระบบนิเวศที่เกื้อกูลกันและเกิดประโยชน์กับเราได้ เช่น การปลูกต้นไม้ที่ให้ดอกมีสีสันหรือกลิ่นหลากหลาย สามารถล่อแมลงหลายชนิดให้มาสนใจแทนที่จะทําลายผลผลิตในสวน แต่ในบริเวณที่เราต้องการปลูกต้นไม้เพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต อาจปลูกต้นไม้บางชนิดอย่างตะไคร้หอมแซมหรืออยู่ในทิศที่ลมผ่านให้กลิ่นช่วยไล่แมลงได้ หรือใช้สมุนไพรไล่แมลงสูตรต่างๆ ซึ่งหากเราไม่ใช้สารเคมีและไม่กําจัดแมลงในธรรมชาติเมื่อมีแมลงหลายชนิดมารวมกันก็จะเกิดห่วงโซ่อาหารที่แมลงศัตรูพืชจะถูกกําจัดในธรรมชาติได้โดยไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง รวมไปถึงจัดการสัตว์เลี้ยงให้เกื้อกูลกันโดยการปล่อยให้ไก่และห่านมากินแมลงศัตรูพืชต่อไป ส่วนเป็ดก็เลี้ยงแบบให้กินวัชพืช และเลี้ยงไส้เดือนให้พรวนดินและมีจุลินทรีย์ช่วยในกระบวนการย่อยสลายในธรรมชาติ



ใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างคุ้มค่า
นอกจากปัจจัย4ที่มนุษย์ต้องใช้สําหรับดํารงชีวิตแล้ว พลังงานเองก็เป็นสิ่งสําคัญไม่แพ้กัน ซึ่งแนวคิดของเพอร์มาคัลเจอร์จะพึ่งพิงพลังงานจากธรรมชาติที่สะอาดและไม่ก่อให้เกิดมลพิษขึ้นใหม่ หรือใช้พลังงานน้อยและทําให้เกิดมลพิษน้อยที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องก่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด โดยบางครั้งก็นําเอาภูมิปัญญาในอดีตมาประยุกต์ใช้ เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทําจากวัตถุดิบธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่น ประโยชน์คือการลดขั้นตอนและพลังงานทางอุตสาหกรรมในการผลิต การขนส่ง และการกําจัด เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบธรรมชาติในพื้นที่ หาง่าย ไม่จําเป็นต้องขนส่งมาจากที่อื่นไกล และสามารถย่อยสลายได้ด้วยตัวเอง หรือแม้กระทั่งปลอดการใช้สารเคมี
แน่นอนว่าพลังงานที่ใช้แล้วหมดไปอย่างน้ํามันดิบ ถ่านหิน หรือก๊าซธรรมชาติจะถูกเลือกมาใช้ในกรณีสุดท้ายแล้วเท่านั้น โดยจะเน้นไปที่การใช้แรงงานจากคนและสัตว์ในการทํางานหรือกิจกรรมต่างๆ พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในการอยู่อาศัยหรือบริการต่างๆจะเป็นพลังงานสะอาดในธรรมชาติ ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ํา และพลังงานลม ใช้การออกแบบอาคารหรือการวางผังต้นไม้ให้รับลมและผ่านบ่อน้ําเพื่อให้ที่อยู่อาศัยเย็นสบายที่สุด ลดการใช้ไฟฟ้าจากเครื่องปรับอากาศเพื่อให้เกิดสภาวะน่าสบาย



จํากัดเพื่อกลับมาใช้ใหม่
เพื่อให้เกิดความสมดุลของอาหารที่นําเข้าและนําออกโดยไม่ต้องไปพึ่งพาทรัพยากรจากภายนอกมากเกินความจําเป็น เราจําเป็นต้องไม่ทิ้งหรือนําของเสียออกไปนอกพื้นที่จนกลายเป็นภาระแก่สิ่งแวดล้อมภายนอก นอกจากนี้ต้องใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ก่อให้เกิดขยะ ปริมาณมลพิษและของเสียให้น้อยที่สุดแล้ว ขยะหรือของเสียโดยเฉพาะจากในครัวเรือนหรือการทําเกษตรยังต้องสามารถย่อยสลายได้ โดยการขุดหลุมหรือทําบ่อหมักใบไม้ที่ร่วงมาในธรรมชาติทุกใบสามารถใช้ทําปุ๋ยได้กิ่งก้านนอกจากนํามาบดทําฟืนหรือโรยทางเดินแล้ว สามารถทําเป็นปุ๋ยได้เช่นเดียวกับเศษอาหาร ด้วยกรรมวิธีหลายรูปแบบ ทั้งการขุดหลุมขยะ บ่อหมัก หรือให้ไส้เดือนช่วยย่อยสลาย รวมทั้งนําซากพืชมาใช้คลุมดินเพื่อรักษาความชื้น
มีไอเดียที่นิยมใช้ในสวนแบบเพอร์มาคัลเจอร์คือHugelkultur หรือการทําคันดิน โดยจะใช้กิ่งไม้ ซุง ท่อนไม้ และเศษใบไม้หั่นเป็นท่อนวางนอนตามแนวแปลงปลูก จะเป็นในลักษณะของการวางบนดินไปเลย วางในกระบะปลูกหรือลงหลุมตื้นๆก็ทําได้ จากนั้นจึงนําดินถมทับเป็นคันดินหนาอย่างน้อย15เซนติเมตร ซึ่งคันดินต้องมีความสูงจากพื้นดินรอบๆอย่างน้อย60เซนติเมตร เพื่อใช้สําหรับปลูกพืชที่เราต้องการได้หลายชนิด แล้วจึงนําฟางมาคลุมดินเพื่อช่วยเก็บความชุ่มชื้นของผิวดิน นอกจากพวกเศษต้นไม้ที่อยู่ด้านล่างจะสามารถย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยได้แล้ว ยังช่วยเก็บความชื้นแม้ไม่ได้รดน้ําถึง3สัปดาห์ ต้นไม้ที่ปลูกบนคันดินก็สามารถเจริญเติบโตต่อได้ทําให้ไม่ต้องใช้พลังงานหรือสิ้นเปลืองน้ํามากจนเกินไป



เรื่อง:ปัญชัช
ภาพ:คลังภาพบ้านและสวน