บ้านพื้นถิ่นไทย ที่ออกแบบมาให้มีช่องเปิดรับแสงในทิศทางที่เหมาะสม มีช่องทางไหลเวียนของลมเพื่อระบายความร้อน ชายคายื่นยาวกันแดดกันฝน และเพิ่มมุมมองที่อบอุ่นนุ่มนวลด้วยงานไม้เก่า
ครั้งแรกที่ได้เข้ามาในบ้านหลังนี้เป็นวันที่ฝนเพิ่งหมาดจากฟ้า กลุ่มมวลเมฆสีเทายังไม่จางหายไปสักเท่าไร บรรยากาศภายใน บ้านพื้นถิ่นไทย ที่มีไม้เข้ามาเป็นองค์ประกอบอยู่แทบทุกส่วนหลังนี้จึงดูสงบเงียบและนิ่งราวกับคนไม่ยอมตื่น จนชวนให้รู้สึกอยากจะเอนหลังนอนตามไปด้วย ผิดกับอีกครั้งที่ได้กลับมาเยือนในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าที่หลบพ้นจากแนวกิ่งไม้และลอดผ่านระแนงไม้เข้ามาลูบไล้ตามพื้นทางเดิน ฉาบทับไปกับผนังบางส่วน เกิดเป็นเงาวิบไหวราวกับกำลังร่ายระบำไปตามเสียงนกร้องเจื้อยแจ้วได้อย่างมีชีวิตชีวา
นี่อาจเป็นเสน่ห์ของบ้านแบบไทยที่ตั้งใจออกแบบมาให้อยู่ร่วมกับธรรมชาติ จึงรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลอย่างชัดเจน ผ่านแนวคิดของการออกแบบช่องเปิดรับแสงแดดในทิศทางที่เหมาะสมเพื่อนำความสว่างเข้ามาสู่ภายใน มีช่องทางไหลเวียนของลมที่ช่วยระบายความร้อนและความอับชื้นให้บ้านหายใจได้ และชายคาที่ยื่นยาวเพื่อป้องกันแนวแดดและพายุฝน ผสมด้วยวัสดุธรรมชาติที่พยายามปรุงแต่งให้น้อยเพื่อแสดงถึงสัมผัสที่เป็นมิตรและอบอุ่นปลอดภัยต่อผู้อยู่อาศัย
บ้านสองหลังในพื้นที่เดียวกัน
เรื่องราวของบ้านหลังนี้เริ่มต้นขึ้นหลังจากที่ คุณหนึ่ง-ดิษฐวัฒน์ และคุณจิ-ศุภาวีร์ เตียพิบูลย์ แต่งงานกัน พื้นที่ในทาวน์เฮ้าส์หลังเดิมจึงเริ่มไม่สามารถรองรับการอยู่แบบครอบครัวขยายในอนาคตได้
“เราอยากได้บ้านที่อยู่กับแม่และน้องสาวอีก 2 คนได้ด้วย ลองไปดูบ้านจัดสรรหลายที่ก็ไม่มีสเปซที่เพียงพอ จนมาเจอที่ดินเปล่าตรงนี้ขนาดราว 237 ตารางวา อยู่ในหมู่บ้านซึ่งออกแบบให้มีร่องน้ำไหลผ่าน พอเห็นแล้วก็ชอบเลย ตอนแรกเราไม่ได้คิดถึงรูปแบบบ้านเลยว่าจะเป็นอย่างไร ก็ลองเริ่มคุยกับสถาปนิกหลายคนจนมาเจอกับ คุณเติ้ล – เผดิมเกียรติ สุขกันต์ จาก Studio Miti และก็รวบรวมข้อมูลของตัวเองไปให้ว่ามีอะไรบ้างที่ชอบและอะไรบ้างที่ไม่ชอบ อย่างตอนนั้นบอกเลยว่าไม่เอาบ้านอิฐนะ เพราะไม่ชอบแนวลอฟต์เท่าไร”
แม้จะยังระบุรูปแบบบ้านที่ชอบไม่ได้ แต่ข้อมูลที่เป็นไฟล์ขนาดใหญ่ร่วม 200 หน้าก็กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณเติ้ลมองภาพบ้านหลังนี้ได้อย่างชัดเจน โดยเขาเล่าว่า
“ราวกับคนสองคนกำลังค้นหาอะไรบางอย่างเหมือนๆ กัน คุณหนึ่งกำลังหาบ้านในน้ำหนักของตัวเอง ผมก็กำลังค้นหาแนวทางทำงานของตัวเอง และผมเข้าใจความรู้สึกของพี่คนโตที่ต้องการดูแลครอบครัวอย่างมากเพราะผมเองก็เป็นพี่คนโต พอมาเห็นที่ดินแล้วผมจึงเริ่มวางผังบ้านจากวิวที่อยากได้คือพื้นที่ริมน้ำ โดยให้บ้านส่วนของคุณหนึ่งและคุณจิเป็นบ้าน 2 ชั้นที่อยู่ริมน้ำด้านล่าง ส่วนบ้านคุณแม่เป็นบ้านชั้นเดียวยกใต้ถุนตั้งอยู่บนเนินมองเห็นวิวสวนกลางบ้าน มีฟังก์ชันของครัว ห้องพระ และพื้นที่พักผ่อนของตัวเอง แล้วเชื่อมต่อกันด้วยทางเดินและฟังก์ชันของห้องรับประทานอาหารส่วนกลาง
“บ้านจึงออกมาเหมือนตัวยู (U) ภายใต้พื้นที่ใช้สอยทั้งหมดประมาณ 550 ตารางเมตร ล้อมคอร์ตต้นไม้กลางบ้านซึ่งเปิดรับแสงจากทิศเหนือ และใช้ประโยชน์จากธรรมชาติรอบตัวทั้งความเย็นจากน้ำที่อยู่ใกล้บ้าน ช่องเปิดรับลมในรูปแบบของระแนงไม้ ฉากไม้โปร่ง รวมถึงการยกใต้ถุนบ้านชั้นบนของคุณแม่ให้สูงจากพื้นเพื่อไม่ปิดกั้นลมที่จะหมุนเวียนมาถึงบ้านด้านล่าง พร้อมกับเรียงฟังก์ชันของห้องต่างๆ ให้เหลื่อมมุมมองเพื่อไม่มาบดบังกันเอง มีระยะห่างที่พอดีสำหรับความเป็นส่วนตัวของครอบครัวคุณแม่กับครอบครัวคุณหนึ่ง มีช่องเปิด-ปิดที่ทำให้เห็นกันในเวลาที่เหมาะสม ช่วยให้ความสัมพันธ์ในบ้านดีขึ้น ด้วยระยะการใช้ชีวิตที่พอดีนี้ทำให้บ้านดูละเมียดละไมขึ้นมา”
อุ่นอวลด้วยงานไม้ต่างชนิด
ไม้ เป็นวัสดุหลักที่คุณเติ้ลแนะนำเจ้าของบ้าน โดยใช้เป็นองค์ประกอบทั้งในส่วนของฟังก์ชัน ดีไซน์ตกแต่ง รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ที่ทำขึ้นใหม่ทั้งหมด
“ผมเห็นความสบายๆ แบบธรรมชาติในตัวเจ้าของบ้านและเชื่อว่าวัสดุธรรมชาติมีความสวยอยู่ในตัวเอง เราแค่หามุมมองให้เจอแล้วปล่อยให้วัสดุทำหน้าที่ของตัวเอง ปล่อยให้สร้างความงามไปตามธรรมชาติของเนื้อไม้ ไม่ต้องเนี้ยบมาก บางมุมปล่อยให้ตากแดดตากฝนหรือมีร่องรอยของกาลเวลา ผมว่ามีเสน่ห์ดี ที่จริงผมแค่ออกแบบสัดส่วนของการใช้ไม้ แต่คุณหนึ่งเป็นคนที่ตระเวนไปคัดสรรไม้ทุกชิ้นของบ้านจนทำให้ทุกอย่างบนงานออกแบบเกิดขึ้นได้จริง”
เพื่อให้การหาไม้เก่ามาใช้ให้ตรงกับที่คุณเติ้ลออกแบบได้อย่างราบรื่นที่สุด คุณหนึ่งจึงอาสาไปหาไม้เองทั้งหมดโดยตระเวนดูจากแหล่งไม้หลักๆ ทั้งบางแพ บางบาล สระบุรี แพร่ และน่าน จากคนที่ไม่รู้เรื่องไม้กลายมาเป็นคนที่คัดไม้มาเรียงวางตำแหน่งเขียนรหัสให้ช่างนำไปใช้เองได้ทุกชิ้น
“ทั้งหมดเป็นไม้เก่า ส่วนใหญ่ผมเลือกใช้ประดู่เป็นหลัก เพราะชอบลวดลายแต่ต้องคัดสีเพราะมีหลายเฉด ผสมกับสัก ตะแบก เต็ง แดง มะค่า สาทร พะยูง ชิงชัน บางร้านก็เปิดหน้าไม้ให้เราเลือกเลย เวลาซื้อก็เหมารถมาส่งแบบคละไม้กันไป แล้วค่อยเลือกใช้ให้เหมาะกับพื้นที่ ถ้าเป็นไม้สักหรือตะแบกให้โทนสีอ่อนผมจะเลือกไว้ปูพื้นห้องนอน เลือกประดู่เป็นส่วนตกแต่งตู้ ผนัง ประตู แผงระแนง แทรกด้วยกระพี้เขาควายที่มีลายจัดๆ ในบางจุด การหาไม้ที่พอดีเป๊ะกับทุกมุมมันยาก บางทีก็ต้องตัดหรือต่อเติม ส่วนใหญ่ผมชอบใช้ไม้บางๆ บางครั้งก็เลยต้องผ่ากลางเอามาต่อเพื่อใช้เป็นท็อปโต๊ะ เฟอร์นิเจอร์ก็ช่วยกันคิดช่วยกันทำกับช่าง ต้องเรียกว่าเป็นช่างคู่บุญกันเลย เพราะเขาก็สนุกในการแก้ปัญหาและคิดแนวทางใหม่ๆ ด้วยกันตลอด พอทำบ้านเสร็จแล้วถึงรู้ว่าเราไม่จำเป็นต้องคัดไม้ทุกชิ้นก็ได้ ส่วนที่ต้องใช้งานหนักๆ ตากแดดตากฝนสุดท้ายก็ซีดจางไปตามเวลา บางคนเห็นก็อาจหงุดหงิดแต่ผมว่ามันก็สวยตามธรรมชาติที่เราใช้ ค่อยมาเน้นลวดลายไม้ภายในหรือในมุมที่เราเห็นบ่อยๆ ก็ทำให้เห็นไม้สวยๆ ได้ตลอด”
ต้นไม้และแสงเงาในบ้าน Seen House
เพราะคุณหนึ่งทำงานอยู่ที่บ้านเป็นหลัก เช่นเดียวกับคุณจิที่ดูแลลูกทั้งสองคนอยู่ที่บ้านเกือบทั้งวัน นอกจากบ้านที่ตอบฟังก์ชันการใช้งานได้ดีแล้ว บ้านหลังนี้ยังต้องให้ความสบาย มองเห็นธรรมชาติได้ และสร้างความรู้สึกผ่อนคลายเหมือนๆ กับรีสอร์ตด้วยเช่นกัน
นี่จึงเป็นอีกโจทย์ที่สถาปนิกออกแบบให้มีการแทรกต้นไม้เข้ามาอยู่ในบ้านด้วยรูปแบบของคอร์ตต้นไม้ตรงกลางที่เปิดรับแสงธรรมชาติ กับอีก 2 คอร์ตเล็กตรงหน้าบ้านและหน้าห้องครัวที่เป็นช่องปลูกต้นไม้เพื่อให้เรือนยอดขึ้นเป็นพุ่มสีเขียวรับกับวิวหน้าต่างของห้องนอนชั้นบน รวมไปถึงแผงระแนงตรงคอร์ตกลางที่ทำให้เกิดช่องทางของแสงและเงาเข้ามาในบ้านได้อย่างมีมิติ ดูสวยเพลินตลอดเวลาและแตกต่างกันไปตามฤดูกาล
“ตั้งแต่มาอยู่บ้านนี้ เรามองเห็นทั้งต้นไม้ที่ผลัดใบเปลี่ยนและออกดอกตามฤดู เห็นความเคลื่อนไหวของแสงเงาธรรมชาติที่ทำให้รู้สึกสดชื่นเวลาตื่นนอนในตอนเช้า โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว แสงแดดที่เข้าบ้านจะยิ่งดูสวยมาก ได้ยินเสียงนกร้องใกล้ๆ และบางทีก็บินเข้ามาอยู่ในบ้าน เปียกไปกับสายฝนในบางเวลา ได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และเป็นความสวยงามที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนกันเลยในแต่ละวัน”
เดิมที่เจ้าของตั้งชื่อบ้านนี้ไว้ว่า Scene House ที่หมายถึงบ้านที่มีมุมสวยๆ ให้มอง แต่คุณเติ้ลเข้าใจว่า Seen House เพราะเห็นภาพความงามของบ้านที่เคลื่อนไหวอยู่ในแต่ละมิติของแสงเงาที่แตกต่างกัน และนั่นทำให้ Seen House กลายเป็นชื่อบ้านที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันในความหมายจริงแท้ในที่สุด
เจ้าของ : คุณดิษฐวัฒน์ – คุณศุภาวีร์ เตียพิบูลย์
สถาปนิก : Studio Miti โดยคุณเผดิมเกียรติ สุขกันต์
เรื่อง : ภัทรสิริ โชติพงศ์สันติ์
ภาพ : สิทธิศักดิ์ น้ำคำ
สไตล์ : Suntreeya