เจ้าของ: คุณในดวงตา ปทุมสูติ – คุณรุ่งโรจน์ ไกรบุตร
ภาพสะท้อนในดวงตาคือ บ้านไร่หลังเล็ก เรียบง่ายกลางทุ่งนาดั่งภาพฝัน แต่นัยน์ตาของเขาและเธอนั้นฉายความรู้สึกให้ปรากฏแก่ใจมากกว่าภาพที่อยู่ตรงหน้า
แสงยามเช้าเพิ่งเลียใบหญ้ายังไม่ทันอุ่น กลิ่นดินหมาดน้ำค้างยังเคล้ามาตามลมลูบไล้ผิวกายให้เย็นชุ่มไปถึงใจ แต่หากย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีก่อนหลังหว่านเมล็ดข้าวลงดินในเดือนตุลาคม คุณก้อย – ในดวงตา ปทุมสูติ และคุณรุ่ง – รุ่งโรจน์ ไกรบุตร ตัดสินใจสร้างบ้านหลังนี้ด้วยเงินเก็บทั้งหมดราว 3 แสนบาท แน่นอนว่าไม่ได้ตัวบ้านทั้งหมดที่เห็น แต่ได้เพียงค่าโครงสร้างคอนกรีตและหลังคาซึ่งต้องจ้างช่างมาทำ ส่วนที่เหลือสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงและพลังใจที่ก่อเป็นความภาคภูมิในแบบฉบับของคนบ้านนอกสองคนนี้ บ้านไร่หลังเล็ก




“เราทั้งคู่เคยทำงานและใช้ชีวิตในเมืองกรุงหลายปีแล้วรู้สึกไม่ใช่ เราคุ้นกับวิถีชนบท การอยู่กับธรรมชาติทำให้จิตใจนิ่งและเย็น ในความรู้สึกลึกๆ คือการได้มาทำกินบนผืนดินของบรรพบุรุษ เป็นบ้านเกิดที่ผูกพัน”
คุณก้อยเป็นสาวสุพรรณที่อยู่บ้านเกิดเพียงชั้นอนุบาลก็ย้ายไปที่อื่นจนจบคณะครุศาสตร์ เอกภาษาไทยที่เชียงใหม่ จากนั้นทำงานในกรุงเทพฯ ก่อนจะกลับมาสุพรรณบุรีอย่างถาวร เพื่อช่วยงานคุณพ่อที่เป็นวิทยากรบรรยายในโครงการแก้ปัญหาเรื่องเด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ซึ่งเป็นหลักสูตรของคุณพ่อเอง ส่วนคุณรุ่งเป็นคนอุทัยธานี เรียนด้านภูมิศาสตร์สิ่งแวดล้อม เคยทำงานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร มูลนิธิสานแสงอรุณที่เน้นส่งเสริมให้คนเรียนรู้ในการอยู่กับธรรมชาติ ในปี 2554 ที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจสร้างบ้านสองชั้น โดยต่อเชื่อมกับบ้านชั้นเดียวที่อยู่เดิมเผื่อหนีน้ำในอนาคต




“ถ้ารอเก็บเงินให้มากพอก่อนแล้วค่อยสร้างคงไม่มีวันพร้อม หากไม่เริ่มต้น เราก็ไม่มีวันทำได้สำเร็จ” คุณรุ่งเล่าพลางสบตาคุณก้อยเหมือนมีนัยว่า พวกเขาทั้งสองไม่กลัวที่จะก้าวผ่านทุกข์และสุขไปด้วยกัน
2 ปีจากวันที่เริ่มต้น โครงสร้างบ้านเสร็จด้วยฝีมือช่างชาวบ้านที่ทำแบบค่อยเป็นค่อยไป พร้อมเงินที่ค่อยๆ หมดลงจนเหลือไม่กี่พัน ต่อจากนั้นจึงมีแต่สองมือของ “ช่างรุ่ง” ที่ทำงานไม้ทั้งหมด คือ ผนัง ประตูหน้าต่าง และเฟอร์นิเจอร์บางส่วน
“ตอนนั้นมั่นใจว่าสร้างบ้านเองได้ โดยใช้ไม้สะเดา ไม้ประดู่ ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ปลูกในที่ดินของเรา ทั้งยังมีไม้เก่าและประตูหน้าต่างเก่าที่ซื้อสะสมไว้ เราเดินทางบ่อยและตั้งใจว่าจะไม่เป็นหนี้ จึงใช้เวลาร่วม 2 ปี บ้านจึงเป็นรูปเป็นร่างที่ดูภายนอกเหมือนเสร็จแล้ว แต่ก็ค่อยๆ เติมแต่งและปรับไปตามการใช้งาน”
เวลาล่วงมาถึงใกล้เที่ยงมีแดดกล้า แต่ลมยังพัดตึงผ่านประตูบานเฟี้ยมและหน้าต่างเก่าหลากหลายแบบที่เป็นทั้งฟังก์ชันและลูกเล่นของบ้านนี้ กลิ่นไข่เจียว ผัดกะเพรา และผัดผักจากแปลงหน้าบ้านทำให้ท้องร้องแข่งกับเสียงตะหลิวดังจากในครัว



