Lane House บ้านที่ให้เราออกวิ่งได้ในทุกวัน
บ้านสีเข้ม ที่ดูเคร่งขรึมหลังนี้แอบซ่อนลู่วิ่ง หรือเส้นทางสัญจรรองที่แทรกตัวอยู่ในสวน ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมระหว่าง สถาปัตยกรรมกับธรรมชาติภายนอกเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน
Design Direcotory : สถาปนิก CORE cluster


จะดีแค่ไหนถ้ามีบ้านที่ให้เราสามารถวิ่งออกกำลังกายได้ในทุกวัน เบื้องหน้าฟาซาดและรั้วสีเข้มที่ปิดทึบ บ้านสีเข้ม หลังนี้จึงสะท้อนบุคลิกเรียบง่าย และเสมือนค่อยๆ ปลีกตัวออกจากความวุ่นวายภายนอก แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวเข้ากับบริบทโดยรอบที่เต็มไปด้วย มลภาวะทางเสียง เนื่องจากที่ดินค่อนข้างติดกับทางด่วนและสะพานขนาดใหญ่ จึงเป็นที่มาของบ้านที่ดูเคร่งขรึม แต่แท้จริงแล้วแอบซ่อนพื้นที่สีเขียวเอาไว้ภายใน เปรียบเสมือนโอเอซิสใจกลางบ้าน โดยแทรก แนวคิดสนุกๆ ที่น่าสนใจอย่าง “ลู่วิ่ง” รอบบ้านเอาไว้อีกด้วย
หลายคนอาจจะเกิดความสงสัยว่า เราสามารถสร้างบ้านที่มีลู่วิ่งด้วยได้อย่างไร
แต่บ้านหลังนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า “เลนลู่วิ่ง” และ “พื้นที่อยู่อาศัย” สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว โดย คุณเมย์ – เมธาพร จิตรายานนท์ สถาปนิกจาก CORE cluster ได้นำไอเดียดังกล่าว มาตีความ และออกแบบให้กลายเป็นจริง เปิดมุมมองใหม่จากภาพจำของบ้านแบบเดิมๆ ไปสู่บ้านที่ตอบโจทย์ความ ต้องการเฉพาะได้อย่างดี



สถาปัตยกรรมที่สอดคล้องไปกับวิถีชีวิต สู่พื้นที่โอเอซิสใจกลางบ้าน
“ไอเดียตั้งต้นของลู่วิ่งนั้นมาจากเจ้าของบ้าน ด้วยความที่ชอบออกกำลังกาย และอยากวิ่งได้ทุกวัน จึงต้องการพื้นที่ลู่วิ่ง และขี่จักรยานได้ด้วย เหมือนได้ออกกำลังกายอยู่ในสวนสาธารณะทุกวัน โดยไม่ต้อง ออกจากบ้านเลย ซึ่งเรามองว่าโจทย์ตั้งต้นสนุกมาก พยายามดีไซน์หลากหลายแบบเพื่อให้ได้เส้นทางวิ่งที่ ยาวที่สุด จนออกมาเป็นแบบบ้านเลย์เอาต์รูปตัวยู (U) แทรกสวนและพื้นที่ลู่วิ่งไว้ตรงกลางบ้าน”
จึงเป็นที่มาว่าทำไมฟังก์ชันต่างๆ จึงเรียงตัวโอบล้อมสวนคอร์ตกลางบ้านเอาไว้ นอกจากจะเป็น พื้นที่ของลู่วิ่งแล้ว คอร์ตดังกล่าวยังนำมาซึ่งแสงและลมธรรมชาติ ที่พัดผ่านเข้ามาภายในบ้าน โดยดีไซน์ให้ลู่วิ่งที่ว่าเป็นพื้นทางลาด วนรอบอยู่ภายในสวน ล้อมฟังก์ชันอย่างห้องนั่งเล่นเอาไว้ ซึ่งสถาปนิกออกแบบให้ แยกตัวออกมาเป็นก้อนที่ลอยอยู่เหนือลู่วิ่งในชั้น 1 บรรยากาศห้องนี้จึงพิเศษกว่าห้องไหนๆ และเปรียบ เสมือนหัวใจของบ้าน เพราะโดดเด่นอยู่ท่ามกลางพื้นที่สีเขียว


ด้วยดีไซน์เป็นผนังกระจกโดยรอบ จึงสามารถมองเห็นต้นไม้น้อยใหญ่แบบทะลุปรุโปร่ง ห้องต่างๆ ที่วางตัวล้อมรอบคอร์ตกลางก็สามารถมองเห็นห้องนั่งเล่นที่แทรกตัวอยู่ท่ามกลางสวนได้อย่างชัดเจน สวนและลู่วิ่งจึงกลายเป็นตัวกลางเชื่อมสายตาและความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในบ้าน ทำให้ทุกคนสามารถมองเห็นและรับรู้ถึงกันและกันได้อยู่เสมอ ผ่านมุมมองที่เปิดเชื่อมถึงกันอย่างเป็นธรรมชาติ
เมื่อพื้นที่จับจองด้วยสวน และเส้นทางสำหรับวิ่ง จึงนำไปสู่การออกแบบบ้านเป็น 3 ชั้น เพื่อเกิดเป็นพื้นที่ว่างบริเวณกลางบ้านให้มากที่สุด “เราออกแบบให้พื้นที่ลู่วิ่งเป็นทางลาดที่วนรอบไปถึงชั้น 2 บริเวณห้องนอนและห้องนั่งเล่นในชั้น 2 เพื่อให้ระยะทางวิ่งที่เพียงพอต่อการออกกำลังกายประมาณ 200 เมตร ต่อ 1 รอบการวิ่ง” ซึ่งโครงสร้างของเลนลู่วิ่งนั้นสถาปนิกออกแบบเป็นพื้นไม้วางบนโครงสร้าง เหล็กทั้งหมด โดยออกแบบคานเหล็กขนาดใหญ่เพียงพอที่สามารถรองรับน้ำหนักได้ โดยไม้ที่ใช้คือไม้เทียม สีดำ และติดตั้งเว้นร่องเพื่อให้สามารถระบายน้ำขังได้ดีแม้ในวันที่ฝนตก
ด้วยไอเดียที่อยากให้ห้องนั่งเล่นดูเบาลอย เราจึงไม่พบเห็นเสาโครงสร้างวางเรียงรายอยู่เลย นั่นเพราะการออกแบบให้แนบเนียนไปกับองค์ประกอบของผนัง อย่างการใช้อิฐมอญสีเทาก่อล้อมเสาเอาไว้ ซึ่งเป็นวัสดุเดียวกับที่ใช้ในงานฟาซาด จึงกลมกลืนไปกับส่วนอื่นๆ รอบบ้านได้อย่างดี


สร้างมุมมองธรรมชาติส่วนตัวไว้ภายใน
เนื่องจากบ้านตั้งอยู่ในเมือง และใกล้กับทางด่วน จึงได้รับมลภาวะทั้งจากเสียงและฝุ่น เป็นที่มาของหน้าตาอาคารที่ปิดล้อมด้วยฟาซาดเป็น Double Skin ห่อหุ้มด้านหน้าและหลังบ้านเอาไว้ ฟาซาดดังกล่าวดีไซน์มาเพื่อบ้านหลังนี้โดยเฉพาะ โดยคำนึงถึงทั้งปัจจัยภายนอก เช่น เสียงรบกวน ฝุ่น และสร้างความเป็นส่วนตัว โดยไม่ลืมที่จะคำนึงถึงมุมมองจากด้านในที่ยังคงต้องการมองเห็นภายนอกบ้าง ได้รับแสงและลมธรรมชาติอยู่ จึงเป็นที่มาของการเลือกใช้เป็นวัสดุอิฐมอญเผาสีเทา นำมาจัดแพตเทิร์น วางเรียงสลับกัน มีช่องโปร่งเพื่อให้ลมสามารถผ่านได้ ช่วยพรางสายตาจากบริบทโดยรอบ ทั้งก่อให้เกิด มิติของแสงเงาที่สวยงามแตกต่างกันไปตามช่วงเวลา
“อิฐมอญนำมาติดตั้งบนโครงคร่าวเหล็กและสานเหล็กประกบด้านหลังเพื่อยึด เนื่องจากอิฐ ค่อนข้างเจาะได้ยาก โดยเลือกใช้โครงเป็นเหล็กทำสีดำเพื่อให้แนบเนียนไปกับอิฐสีเทาเข้ม และเว้นช่อง โปร่งกึ่งกลางฟาซาดไว้ในระดับสายตายาวตลอดแนว สามารถมองเห็นจากชั้น 2 ของบ้านได้ ไม่เพียงแต่ ช่วยเฟรมมุมมองให้เห็นภายนอกบางส่วนเท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยลดทอนความทึบตันของอาคาร และทำให้ภายนอกบ้านแลดูมีมิติ น่าสนใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย”


เมื่อต้องปิดกั้นจากภายนอก จึงเป็นที่มาของการสร้างสภาพแวดล้อมภายในบ้านเอง ซึ่งสถาปนิก ได้สร้างประสบการณ์การมองเห็นต้นไม้หรือพื้นที่สีเขียว แทรกไว้ตามจุดต่างๆ ภายในบ้าน คล้ายกับการ จัดวางฉาก (Scene) ที่เปลี่ยนไปตามมุมมอง เริ่มต้นตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาด้านใน ด้วยเส้นทางเดินเข้าบ้าน เป็นเส้นตรงที่กว้างเพียงเมตรกว่า นำพาเราไปยังพื้นที่รับประทานอาหารซึ่งทำหน้าที่เหมือนห้องรับแขก ทางเดินดังกล่าวขนาบข้างด้วยผืนผนังทึบกรุหินลวดลายสวยงามในฝั่งหนึ่ง และอีกฝั่งเป็นผนังกระจกที่ เปิดมุมมองเห็นสวนเต็มบาน จึงเชื้อเชิญให้เราทอดสายตาออกไปมองต้นไม้ภายนอกมากกว่าในระหว่าง ทางการเดิน
เมื่อก้าวขึ้นสู่ชั้น 2 ประสบการณ์ระหว่างทางถูกออกแบบให้เต็มไปด้วยความรู้สึกของการอยู่ท่าม กลางธรรมชาติ โถงบันไดกระจกที่แทรกตัวอยู่ระหว่างสวนสองฝั่ง สร้างความรู้สึกเหมือนถูกโอบล้อมด้วย พื้นที่สีเขียวตลอดการเดินทางขึ้นสู่ชั้นบน และเมื่อเดินมาถึงบริเวณโถงบันไดก่อนเข้าสู่พื้นที่ใช้สอยหลัก ในชั้น3 สายตาจะถูกนำพาไปยังต้นไม้ที่ปลูกไว้ในคอร์ตเล็กๆ ด้านหน้า โดยมีช่องแสงสกายไลต์ช่วยดึงแสง ธรรมชาติเข้ามาในตัวบ้านอย่างพอเหมาะ ทุกย่างก้าวภายในบ้านจึงให้ความรู้สึกเหมือนได้เดินอยู่ ท่ามกลางสวนหย่อมส่วนตัว








วัสดุโทนสีเข้มที่ควบคู่ไปกับลวดลายหินธรรมชาติ
บ้านหลังนี้เลือกใช้วัสดุในโทนสีเข้มตั้งแต่ภายนอก ได้แก่ รั้วระแนงอะลูมิเนียม ฟาซาด และภายใน บ้านอย่างเฟรมกระจก สร้างมูดโทนที่เรียบง่าย ดูสงบนิ่ง และยิ่งขับเน้นให้พื้นที่สีเขียว ภายในแจ่มชัดขึ้น
สถาปนิกเลือกใช้วัสดุเพียงไม่กี่อย่าง เพื่อให้บรรยากาศของบ้านทั้งหลังดูเป็นภาพรวมเดียวกัน และมีมู้ดโทนเป็นเอกลักษณ์ชัดเจน ที่โดดเด่นสะดุดตาคือการเลือกใช้หินที่มีลวดลายสวยงาม เป็นหนึ่งใน องค์ประกอบหลักสำคัญของงานออกแบบตกแต่งภายใน ตั้งแต่เคาน์เตอร์ทั้งบริเวณแพนทรี่ และห้องแต่ง ตัว รวมไปถึงผืนผนังที่ต้องการขับเน้นให้โดดเด่นทั้งให้พื้นที่ครัวและห้องนอน ส่วนผนังภายนอกบ้านนั้น ใช้ผนังทำเท็กซ์เจอร์สีเทาอ่อน ซึ่งข้อดีของการทำเท็กซ์เจอร์คือ ช่วยพรางคราบฝุ่นที่มาเกาะผนัง เนื่องจาก พื้นที่ดังกล่าวค่อนข้างมีฝุ่นเป็นจำนวนมากจากบริบทโดยรอบ โดยไม่จำเป็นต้องดูแลรักษาบ่อยครั้ง
การออกแบบบ้านหลังนี้เริ่มต้นจากโจทย์ที่ท้าทาย แต่สถาปนิกไม่ได้เพียงแค่ตีความให้เข้ากับ วิถีชีวิตของผู้อยู่อาศัยเท่านั้น หากยังใส่ใจถึงบริบทแวดล้อมและพฤติกรรมการใช้พื้นที่ นำไปสู่บ้านที่ ตอบสนองต่อการอยู่อาศัย พร้อมทั้งเชื่อมโยงสถาปัตยกรรมเข้ากับธรรมชาติภายนอกได้อย่างกลมกลืน




ออกแบบ : CORE cluster
เรื่อง : Nantagan
ภาพ : ณัฐวุฒิ เพ็งคำภู, เฉลิมวัฒน์ วงษ์ชมภู
ผู้ช่วยช่างภาพ : ธีรวัฒน์ พรหมณีวัฒน์
สไตล์ : Suntreeya