5 วิธีฆ่าเชื้อไวรัสในบ้าน อย่างได้ผล

วิธีฆ่าเชื้อไวรัส ในบ้าน เป็นหนึ่งในคำถามที่ถูกถามเข้ามามากในช่วงนี้ โดยเฉพาะเมื่อเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 อีกครั้งหนึ่ง เพราะไม่มีที่ไหนจะปลอดภัยเท่ากับบ้านแสนรักของเรา แต่คงจะดีถ้าได้มี วิธีฆ่าเชื้อไวรัส ที่สามารถมั่นใจได้ วันนี้บ้านและสวนจึงอยากนำเสนอ วิธีการฆ่าเชื้อไวรัสในบ้าน อย่างได้ผลให้กับคุณผู้อ่านไว้เป็นแนวทางต่อไป

อ่าน : โคมไฟ โซล่า โคมไฟโซลาร์เซลล์ ติดตั้งเองได้ ไม่ง้อช่าง

1.การฆ่าเชื้อไวรัสด้วย เคมี

หรือการพ่นฆ่าเชื้อ คือการฆ่าเชื้อโรคโดยการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคด้วยเครื่องพ่นละอองฝอย หรือเครื่องพ่นหมอก พ่นละอองฝอย (Misting Sanitize) มักใช้น้ำยาฆ่าเชื้อที่มีประสิทธิภาพสูง (High-Level disinfectant) อย่าง กลูตารัลดิไฮด์(glutaraldehyde) และสารอื่น ๆ ตามสูตรของแต่ละบริษัท ที่เราสามารถตรวจสอบการอนุญาตผลิตภัณฑ์ประเภทวัตถุอันตรายเหล่านี้ได้ โดยดูจากฉลากบรรจุผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองคุณภาพจากอย. หรือเข้าไปสืบค้นที่เว็บไซต์ของ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้มั่นใจว่าน้ำยาฆ่าเชื้อเหล่านั้นเหมาะสมกับการนำมาใช้งานตามพื้นที่พักอาศัยได้อย่างปลอดภัยหรือไม่

ขั้นตอน

เจ้าหน้าที่ประเมินหน้างานและจัดเตรียมพื้นที่ก่อนพ่นน้ำยา โดยต้องมีการคลุมอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับอาหารหรือเครื่องนุ่งห่ม เพราะน้ำยาฆ่าเชื้ออาจสร้างความระคายเคืองต่อผิวหนังได้ จากนั้นจึงทำการพ่นน้ำยา และปิดห้องทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคภายในห้องค่อย ๆ ระเหย ก่อนเปิดระบายอากาศประมาณ 2 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยเพื่อความปลอดภัย

ค่าใช้จ่าย
ราคาเหมาเริ่มต้นที่ 2,000 บาท/สำหรับพื้นที่ตั้งแต่ 50 ตารางเมตร ขึ้นไป

ระยะเวลาปลอดเชื้อ

น้ำยาฆ่าเชื้อสามารถคงประสิทธิภาพอยู่ได้ประมาณ 1 เดือน ด้วยการฉีดพ่นเป็นละออง พื้นที่ที่ถูกปกคลุมด้วยละอองขอน้ำยาจึงมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคต่อไปได้อีกระยะเวลาหนึ่งตามการใช้งาน

ข้อดี

  • ฆ่าเชื้อโรคได้ตรงจุด สามารถกำหนดคุณสมบัติเพื่อประสิทธิภาพที่ตรงตัวได้
  • ควบคุมพื้นที่และเข้าถึงพื้นที่ที่ต้องการได้ละเอียดกว่า
  • สามารถคงประสิทธิภาพได้ยาวนานกว่า

ข้อสังเกต

  • อาจมีสารตกค้างมากน้อยขึ้นอยู่กับสารที่ใช้ในการฆ่าเชื้อ
  • มีราคาเริ่มต้นที่สูงกว่าการอบโอโซน แต่สำหรับในพื้นที่ขนาดใหญ่ก็ถือว่าคุ้มค่าเเละเหมาะสมกว่า
  • ต้องสอบถามถึงน้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่ผู้ให้บริการเลือกใช้ว่ามีสารที่เป็นอันตรายหรือไม่

ผู้ให้บริการ

  1. บริการฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค
  2. Sureclean : www.facebook.com/surecleanthailand
  3. Thaiskyclean : thaiskyclean.co.th
  4. Rentokil : rentokil.co.th/infection-control

คุณสมบัติในการขจัดเชื้อโรค

น้ำยาฆ่าเชื้อโรคจะมีกลไกการทำลายเชื้อไวรัส คือเมื่อน้ำยาสัมผัสกับเชื้อโรคจะเข้าไปละลายไขมันในผนังเซลล์ หรือทำให้โปรตีนและกรดนิวคลิอิกของไวรัสเสียสภาพไป

ถ้าหากว่าพื้นที่ของคุณนั้นเป็นพื้นที่กึ่งสาธารณะที่มีการใช้งานมาก หรืออาจจะต้องการการฆ่าเชื้อโรคที่ตรงจุดมั่นใจได้ การพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคก็จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ๆ เช่น โรงงาน  ห้างร้าน หรือบริษัทต่าง ๆ การอบโอโซนจะไม่สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้ทั่วถึง ในขณะที่การพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคในพื้นที่ขนาดใหญ่นั้นจะมีความคุ้มค่าเเละมีประสิทธิภาพการควบคุมเชื้อโรคได้ดีกว่า เเถมป้องกันในระยะเวลาที่ยาวนานกว่าด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะพิจารณาเลือกใช้วิธีการใดให้เหมาะสม เพื่อป้องกันสุขภาพจากเชื้อโรคร้ายที่นับวันจะทวีความรุนเเรงมากขึ้นทุกที

2.การฆ่าเชื้อไวรัสด้วย Ozone

โอโซน หรือ o3 ก๊าซโอโซน คือ ก๊าซออกซิเจนในสถานะพิเศษที่มีโครงสร้าง 3 อะตอม เกิดจากโมเลกุลออกซิเจนได้รับพลังงานจากแหล่งพลังงาน เช่น ฟ้าผ่า แสง UV โคโรน่าดิสชาร์จ จึงเกิดการแตกตัว และรวมเป็น  3  อะตอม ซึ่งจะคงสภาพอยู่ได้ประมาณครึ่งชั่วโมง

ขั้นตอน

เจ้าหน้าที่ประเมินหน้างาน อาจทำความสะอาดเบื้องต้นก่อนหรือไม่ก็ได้ จากนั้นจะทำการปล่อยโอโซนอบไว้ในห้องเพื่อฆ่าเชื้อ โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง และปล่อยทิ้งไว้อีก 1 ชั่วโมงเพื่อรอให้โอโซนสลายตัว จึงสามารถใช้งานห้องนั้นต่อได้ทันที

ค่าใช้จ่าย

ตารางเมตรละ 20-50 บาท สามารถเริ่มต้นในพื้นที่เล็ก ๆ ได้

ระยะเวลาปลอดเชื้อ

เชื้อในห้องจะตายหมดหลังการอบ แต่เนื่องจากโอโซนจะสลายไปจนหมดภายในเวลา 0.5-1 ชั่วโมง ทำให้เชื้ออาจกลับเข้าสู่ภายในห้องได้ใหม่ การอบโอโซนจึงเหมาะกับพื้นที่ส่วนตัวที่ไม่พลุกพล่าน เช่น ออฟฟิศขนาดเล็ก หรือบ้านเรือนที่พักอาศัยส่วนตัวมากกว่า เพราะสามารถควบคุมการใช้งานได้ดีกว่าพื้นที่ขนาดใหญ่หรือพื้นที่สาธารณะ

ข้อดี

  • ไม่มีสารตกค้าง จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายในระยะยาว
  • ไม่จำเป็นต้องเก็บห้องเพื่อเตรียมอบโอโซน
  • สามารถทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ
  • ราคาย่อมเยา

ข้อสังเกต

  • โอโซนสลายไปอย่างรวดเร็วหลังเสร็จสิ้นขั้นตอน
  • ไม่เหมาะกับพื้นที่ขนาดใหญ่

ผู้ให้บริการ

  1. q-chang : q-chang.com
  2. Home Pro : homepro.co.th
  3. Inmindclean : inmindclean.com

หลักการในการขจัดเชื้อโรค เมื่อก๊าซโอโซนไปจับกับตัวเชื้อโรคจะเกิดการแตกตัวเป็น O + O2 และออกซิเจนอะตอมนี้เองที่จะเข้าไปทำลายผนังเซลล์ ทำให้เชื้อโรคทั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรียสลายไป ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าหน้าที่ทำการปล่อยโอโซนอบไว้ในห้อง 2-3 ชั่วโมง แม้ว่าโอโซนจะเป็นรูปแบบหนึ่งของออกซิเจน และมีสภาพเป็นพิษเมื่อมีความเข้มข้นมากกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลิตรในอากาศ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ปิดเครื่องผลิตโอโซนและปล่อยห้องทิ้งไว้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง โอโซนภายในห้องจะสลายจาก O3 เป็น O2 จึงรับรองว่าไม่เป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัยเเน่นอน

สำหรับผู้ที่ต้องการฆ่าเชื้อในพื้นที่ที่ไม่ใหญ่โตมากนัก รวมทั้งไม่ต้องการที่จะต้องจัดเตรียมพื้นที่ “การอบโอโซน” อาจจะเป็นคำตอบที่ดี อีกทั้งราคาเริ่มต้นของบริการยังย่อมเยาว่าการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค และที่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีสารตกค้างในพื้นที่อย่างแน่นอน

3.การป้องกันเชื้อไวรัสด้วย แผ่นกรองอากาศ HEPA H14

ช่วงปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะด้วย โควิด 19 หรือ PM 2.5 ต่างก็ผลักดันให้เครื่องกรองอากาศกลายเป็นหนึ่งในอุปกร์ประจำบ้านที่สำคัญ และเครื่องกรองอากาศที่ใช้ไส้กรองแบบ HEPA ก็เรียกได้ว่าเป็นพระเอกของเรื่องนี้เลยทีเดียว แต่ไม่ใช่ HEPA ทุกประเภทจะละเอียดพอที่จะป้องกันไวรัสได้ เราจึงอยากแนะนำให้รู้จัก HEPA H14 กัน

HEPA FILTER คืออะไร? HEPA หรือที่ย่อมาจากคำว่า “High Efficiency Particulate Air Filter” จัดเป็น แผ่นกรองอากาศคุณภาพสูง ทำมาจากเส้นใยไฟเบอร์กลาส (Fiberglass) ถักทอจนมีขนาดที่เล็กมากๆ จนมันมีความสามารถ ในของการกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กมากๆ (Small Particles) ได้เป็นอย่างดี

HEPA Filter ที่นิยมคือระดับ H13 นั้นสามารถดักจับฝุ่นที่มีอนุภาคเล็ก 0.3 ไมครอน แต่ไวรัสโดยทั่วไปมีขนาดประมาณ 0.125 ไมครอน  การเลือกใช้ HEPA Filter จึงควรเจาะจงที่ระดับ H14 จึงจะสามารถกรองได้ถึงระดับ 0.1 ไมครอน และป้องกันเชื้อไวรัสได้นั่นเอง

จุดเด่นของการเลือกใช้เครื่องกรองอากาศ คือ เป็นวิธีการจัดการกับไวรัสที่คุกคามต่อสิ่งมีชีวิตน้อยที่สุด เพราะเน้นการดักจับและกรองให้เหลือแต่อากาศบริสุทธิ์ออกมานั่นเอง ทั้งยังช่วยกรองฝุ่นและมลพิษให้กับห้องได้อีกด้วย เหมาะกับบ้านที่มีเด็กๆ อาจใช้ร่วมกับการฆ่าเชื้อโรคด้วยระบบแสง UV ประดิษฐ์ ในช่วงเวลาที่ไม่มีคนใช้ห้องก็จะได้ประสิทธิภาพดีขึ้น

4.การฆ่าเชื้อไวรัสด้วย แสง UV ประดิษฐ์

อีกหนึ่งวิธีดีๆที่เหมาะเพียงแค่เสียบปลั๊ก(หรือเปิดสวิช) ก็ทำการฆ่าเชื้อไวรัสได้แล้ว ด้วยการใช้แสง UV ซึ่งหลอด UV นั้นจะให้แสงในช่วง UV-C ที่เหมาะแก่การการฆ่าเชื้อนั่นเอง

UV-C นั้นมีความยาวคลื่น 253.7 nm สามารถฆ่าเชื้อในอากาศได้ ทำให้เมื่อเราเปิดหลอด UV-C ไว้ในห้อง ก็จะสามารถฆ่าเชื้อในห้องได้นั่นเอง ขึ้นอยู่กับระยะเวลา และการหมุนเวียนอากาศภายในห้อง

ขอบคุณภาพจากคุณ : เจ

และการฉายรังสี UV-C นั้น ยังสามารถใช้กับการฆ่าเชื้อในของเหลว และบนพื้นผิวได้อีกด้วย ดังจะเห็นว่ามีเครื่องฉาย UV-C แบบพกพาที่สามารถฉายรังสีลงบนสิ่งของใกล้ตัวเราอย่างมือถือหรือแว่นตาได้

หลักการทำงานของ UV-C ก็คือ เมื่อไวรัสได้รับแสง UV-C เข้าไป ฤทธิ์ของรังสี UV-C จะเข้าไปทำลาย DNA ของสิ่งมีชีวิตทำให้เชื้อโรคไม่สามารถขยายพันธ์ได้ และทั้งไวรัสและแบคทีเรียก็จะตายเพราะเหตุนี้นี่เอง รวมทั้งเราจึงควรระมัดระวังในการใช้หลอด UV-C เพราะแม้แต่มนุษย์และสัตว์เลี้ยงเองก็อาจได้รับผลกระทบเมื่อฉายแสงใส่โดยตรง

รังสี UV-C เข้าไปทำลาย DNA ของสิ่งมีชีวิตทำให้ไม่สามารถขยายพันธ์ต่อไปได้

จุดเด่น การใช้อุปกรณ์ฉายรังสี UV-C ทั้งแบบพกพาและแบบติดตั้งนั้นคือการที่มีความสะดวกในฆ่าเชื้อโรค ประยุกต์ได้หลากหลาย ทั้งเอาไว้ใช้ฆ่าเชื้อในระบบทางเดินอากาศของอาคาร หรือจะพกพาด้วยแบตเตอรี่ก็ได้ สามารถฆ่าเชื้อได้รวดเร็วโดยไม่ต้องสัมผัส(หรือฉีดพ่น)

5.การฆ่าเชื้อไวรัสด้วย แสง UV จากธรรมชาติ

และวิธีสุดท้ายที่เราอยากแนะนำก็คือการฆ่าเชื้อโรคให้กับบ้านในแบบดั้งเดิมที่ทำกันมาตั้งแต่โบราณ นั่นคือในวันอากาศดี เราอาจจะเปิดม่านรับแสงแดดให้เข้ามาในบ้านบ้างเป็นการระบายอากาศเก่าและให้แสงแดดช่วยฆ่าเชื้อโรครวมทั้งกลิ่นอับให้ออกไปจากบ้าน อาจจะทำในวันหยุดบ้างก็เป็นอะไรที่สร้างความสดชื่นให้กับบ้านได้เป็นอย่างดีเช่นกัน

และนี่ก็คือ 5 วิธีจัดการเชื้อโรคที่บ้านและสวนนำมาฝากกันในช่วงเวลานี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านไม่มากก็น้อยนะครับ


เรื่อง Wuthikorn Sut