10 พรรณไม้แห่งปี 2025 ขวัญใจนักอ่านบ้านและสวน
พรรณไม้แห่งปี 2025 จะมีต้นไหนมาแรงอยู่ในกระแสความสนใจของแฟนนักอ่านบ้านและสวน เราได้จัดอันดับมาบอกกล่าวกัน ดังนี้
1. แก้วเจ้าจอม
- ชื่อวิทยาศาสตร์ : Guaiacum officinale L.
- วงศ์ Zygophyllaceae
ไม้ต้นขนาดเล็ก มีความสูงอยู่ที่ประมาณ 10 – 15 เมตร ดอกของแก้วเจ้าจอมออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบใกล้ปลายยอด กลีบดอก 5 กลีบ ดอกบานมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 – 2.5 เซนติเมตร บานวันแรกสีฟ้าอมม่วง จากนั้นสีจะซีดลงเป็นสีขาว เกสรสีเหลืองเห็นเด่นชัด มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกดอกเดือนสิงหาคม – มกราคม ชอบดินร่วนระบายน้ำดี และต้องการแสงแดดเต็มวัน ส่วนน้ำต้องการปานกลาง ขยายพันธุ์ค่อนข้างยาก นิยมใช้วิธีตอนกิ่งและเพาะเมล็ด เหมาะปลูกเป็นไม้ประดับให้ร่มเงา ส่วนใหญ่นิยมปลูกนอกบ้าน มีทรงพุ่มกลมสวยงาม ใช้จัดสวนได้ดี มีความสวยงามเป็นสง่า ปลูกเป็นไม้ประดับ ทั่วไป หากออกดอกบานสะพรั่งก็ดูงดงาม แต่ไม่ควรปลูกติดชิดตัวบ้านหรืออาคารมากเกินไป เนื่องจากพุ่มอาจแผ่ออกมากระทบ คารเผื่อเพื้นที่ให้แก้วเจ้าจอมได้แผ่กิ่งออก

2. กวักมรกต
- ชื่อวิทยาศาสตร์ Zamioculcas zamiifolia (Lodd.) Engl.
- วงศ์ Araceae
ไม้อวบน้ำ ลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดินมีสีน้ำตาลอ่อน ลักษณะใบสีเขียวเป็นมัน มีใบประกอบแบบขนนก ใบย่อยรูปไข่โคนมน และปลายใบแหลม แผ่นใบเรียบ หนา และอวบน้ำ มีดอกออกเป็นช่อ คล้ายดอกหน้าวัว สีเหลืองนวลแกมเขียวอ่อน ขยายพันธุ์ด้วยการแยกหัว ชำต้น และชำใบ เจริญเติบโตได้ดีในที่ร่ม เป็นพืชที่ดูแลง่าย สามารถปลูกในห้อง ในที่ร่ม และเลี้ยงแบบชำน้ำได้ อีกทั้งยังเป็นไม้ฟอกอากาศ และไม้มงคลที่มีความสวยงามโดดเด่นทั้งใบเขียว ใบดำ และใบด่าง จึงทำให้กวักมรกตเป็นไม้ที่นิยมปลูกกันในช่วงที่ผ่านมา แต่กวักมรกตอาจมีอันตรายต่อคนโดยเฉพาะเด็ก และรวมถึงสัตว์เลี้ยง หากกินเข้าไปจะมีอาการระคายเคืองในปาก ปากบวม อาเจียน น้ำลายไหลมากเกินไป รวมไปถึงหายใจลำบาก


3. ล่ำซำ
- ชื่อวิทยาศาสตร์ Diospyros buxifolia (Blume) Hiern
- วงศ์ Ebenaceae
ไม้ต้นไม่ผลัดใบ ลำต้นมีเปลือกแตกเป็นร่องสีเทาอมดำ ใบเป็นลักษณะใบเดี่ยวสีเขียวรูปไข่ มีดอกสีขาว และจะออกดอกแยกเพศต่างต้น ล่ำซำ ในระยะต้นกล้าควรปลูกเลี้ยงไว้ในที่ร่มรำไร แต่เมื่อโตและมีอายุมากขึ้นสามารถนำมาปลูกกลางแจ้งหรือในบริเวณที่มีแดดตลอดทั้งวันได้ หรือพื้นที่ที่ได้รับแสงแดด 8-10 ชั่วโมงขึ้นไป ล่ำซำเป็นไม้ที่จะเรียกว่าดูแลง่ายก็ไม่เชิง เพราะก็ต้องเอาใจใส่อยู่บ้าง เช่น หมั่นสังเกตหน้าดินว่าแห้งหรือไม่ และควรรดน้ำ 2 วันต่ออาทิตย์ หรือเมื่อดินแห้ง แต่ไม่ชอบดินแฉะหรือน้ำขัง เพราะจะทำให้รากเน่าได้ง่าย และล่ำซำจะเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทราย ปัจจุบันเป็นที่นิยมของนักจัดสวนและเจ้าของบ้าน ด้วยคุณสมบัติหลายอย่างที่ทำให้คนหลงใหลต้นไม้ต้นนี้ เช่น เป็นต้นไม้ที่ระบบรากไม่ทำลายโครงสร้าง ใบร่วงน้อย ทนแล้งได้ดี อีกทั้งชื่อมีความหมายดี จัดอยู่ในกลุ่มต้นไม้มงคลยอดนิยมของคนไทย


4. กันเกรา
- ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Fagraea fragrans Roxb.
- วงศ์ Gentianaceae
ไม้ต้นขนาดกลางถึงใหญ่ มีความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 8 – 25 เมตร และมีทรงพุ่มเรือนยอดรูปไข่ ทรงพุ่มแน่นทึบ ลำต้นเปลือกต้นสีน้ำตาลเข้ม แตกเป็นร่องลึก เปลือกมีสีน้ำตาล เมื่อต้นแก่จะแตกเป็นร่องลึกตามยาว มีดอกดก ดอกมีกลิ่นหอม และมีสีสวยงาม ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและการปักชำ ขึ้นโดยทั่วไปในทุกภาคของประเทศไทย ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายนจะออกดอกเป็นช่อสีเหลือง มีกลิ่นหอมขจรขจาย ชอบแสงแดดตลอดวัน ดินทุกประเภทที่ชุ่มชื้น แต่ชอบน้ำปานกลาง ทนน้ำท่วมขัง เหมาะปลูกเป็นไม้ประธานหรือในสวนสาธารณะหรือบริเวณบ้านที่มีพื้นที่กว้าง เป็นไม้มงคลหนึ่งในเก้าชนิดที่ใช้รองก้นหลุมก่อนลงเสาเอกของบ้าน นิยมปลูกทางทิศตะวันออก เชื่อว่าช่วยปกป้องคุ้มภัย เนื่องจาก กันเกรา หมายถึง กันสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายไม่ให้มาทำอันตรายใดๆ


5. มะขามเทศด่าง
- ชื่อวิทยาศาสตร์ Pithecellobium dulce (Roxb.) Benth. ‘Variegata’
- วงศ์ Fabaceae
ไม้ต้นที่ปัจจุบันนิยมใช้เป็นไม้ตกแต่งสวน และสามารถปลูกเป็นไม้พุ่มได้ ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ใบแก่สีเขียวเข้ม ใบอ่อนด่างสีขาว และยอดอ่อนมีสีชมพู เป็นไม้ที่ค่อนข้างเติบโตช้า นิยมทำรั้วเพราะใบดกแน่นและมีหนามแหลม ตัดแต่งเป็นพุ่มเตี้ยหรือเป็นรูปทรงต่างๆ ตามต้องการได้ เมื่อตัดแต่งแล้วจะแตกใบใหม่ มีสีขาวปนชมพูสวยงาม เติบโตได้ดีในดินร่วน ต้องการน้ำปานกลาง และทนแล้งได้ดี ชอบแสงแดดจัด ขยายพันธุ์โดยการปักชำกิ่งและตอนกิ่ง และไม่ค่อยเจอปัญหาโรคและแมลงเข้าทำลาย เนื่องจากมะขามเทศด่างมีการด่างที่เสถียรแล้ว การบำรุงด้วยปุ๋ยก็สามารถใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักทั่วไปได้เลย และถึงแม้เมื่อต้นโตขึ้นความด่างจะไม่จัดมาก แต่ยอดใหม่ที่แตกออกมานั้นก็ยังมีความด่างที่เด่นชัด


6. มะริด
- ชื่อวิทยาศาสตร์: Diospyros blancoi
- วงศ์ Ebenaceae
ไม้ป่าที่เกือบสูญพันธุ์ไปจากไทยแล้ว แต่ช่วงนี้กลับกลายเป็นไม้เศรษฐกิจมาแรง เป็นไม้ไม่ผลัดใบที่ให้ร่มเงาดีจากใบที่ดกหนา ทรงพุ่มตรงขึ้นไป กิ่งแข็งและเหนียว สามารถปลูกเป็นไม้ล้อม หรือปลูกเป็นแนวรั้วขนาดใหญ่ได้ ชอบน้ำ ชอบความชุ่มชื้น


7. พะยอม
- ชื่อวิทยาศาสตร์ Shorea roxburghii G.Don
- วงศ์ Dipterocarpaceae
ไม้ต้นผลัดใบ ที่มีทรงพุ่มสวย รูปไข่หรือกรวยคว่ำ หากอยู่ในที่โล่งแจ้งและไม่มีพรรณไม้ใหญ่อยู่ใกล้เคียง ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตัดแต่งกิ่งออกเลยตลอดอายุการปลูก มีความสูงประมาณ 15 – 30 เมตร ลำต้นเปลือกสีเทาเข้มแตกเป็นร่องตามยาว มีลักษณะใบที่เรียงสลับกัน ดอกมีสีขาว กลิ่นหอม นิยมนำเนื้อไม้ไปใช้ในการก่อสร้าง ลักษณะคล้ายกับต้นตะเคียน มีอัตราการเจริญเติบโตที่ช้า ชอบดินร่วนปนทรายหรือดินที่ระบายน้ำดี ชอบแสงแดดเต็มวัน ชอบอากาศเย็น การรดนํ้าควรมีปริมาณปานกลาง โดยการขยายพันธุ์เพาะเมล็ดหรือตอนกิ่ง แต่ออกรากยากมาก ควรปลูกลงแปลงกลางแจ้งให้ห่างจากต้นไม้อื่น 6 – 8 เมตร หากปลูกในดินเหนียวแฉะ จะออกดอกน้อยมาก คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านไหนปลูกต้นพะยอมไว้ประจำบ้าน จะทำให้มีอุปนิสัยที่อ่อนน้อม เนื่องจากพะยอม คือ การยินยอม ตกลง ผ่อนผัน ประณีประนอม นอกจากนี้ยังเชื่ออีกว่าจะไม่ขัดสน เพราะบุคคลทั่วไปให้ความเห็นใจและยอมให้ในสิ่งที่ดีงาม


8. ตีนเป็ดน้ำ
- ชื่อวิทยาศาสตร์ Cerbera odollam Gaertn.
- วงศ์ Apocynaceae
ไม้ต้นกึ่งผลัดใบ แผ่นใบหนาคล้ายแผ่นหนัง มีดอกออกที่ปลายกิ่ง ออกดอกตลอดทั้งปี มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ผลสดค่อนข้างกลม ดูคล้ายมะม่วง จึงได้ชื่อว่า Sea Mango เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงแดง ผลแห้งลอยน้ำได้ เป็นไม้ที่ปลูกง่าย โตเร็ว ดูแลน้อย สร้างร่มเงาได้ ราคาถูก จึงกลายเป็นที่นิยมปลูกกัน โดยเฉาะพื้นที่กลางแจ้ง อย่างเช่นสวนสาธารณะ ริมน้ำ หรือริมถนน รวมไปถึงลานจอดรถ แต่มีข้อควรระวังคือ ทุกส่วนของต้นตีนเป็ดน้ำทั้งต้น ใบ และผล จะมีส่วนของยางสีขาวมีฤทธิ์ทำให้อาเจียนและเป็นยาถ่าย ยาระบาย ไม่ควรสัมผัสโดยตรงเพราะจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง โดยควรระมัดระวังในการเด็ดใบและทำให้ต้นเกิดแผล หากเข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้


9. สนหอม
- ชื่อวิทยาศาตร์ Chamaecyparis lawsoniana
- วงศ์ Cupressaceae
ไม้พุ่ม ทรงฉัตรหรือทรงกรวยคว่ำ ลำต้นเดี่ยว ตั้งตรง แตกกิ่งก้านต่ำตามลำต้น เปลือกต้นสีน้ำตาลเทาถึงเข้ม ใบเป็นใบเดี่ยวรูปแถบ ปลายแหลม โคนสอบ ขอบเรียบ ใบอ่อนสีแดงอมน้ำตาล เนื้อใบค่อนข้างหนาและแข็ง ใบแก่สีเขียว ใบมีกลิ่นหอม ไม่มีก้านใบ ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง สำหรับการดูแลต้นสนหอม หากปลูกด้วยกระถางหรือกระบะปลูกควรใช้วัสดุปลูกที่ระบายน้ำได้ดี หากปลูกลงดินควรรองก้นหลุมด้วยทรายหรือพีทมอสเพื่อให้รากเจริญเติบโตเร็วในช่วงแรก รดน้ำอาทิตย์ละ 1-2 วัน ไม่ชอบแฉะ หมั่นตัดแต่งทรงพุ่ม และเติมปุ๋ยหลังการตัดแต่ง ชอบแดดจัด นักจัดสวนนิยมใช้เป็นไม้รั้ว แต่มีข้อควรระวังคือไม่ควรปลูกชิดกำแพง หรือในบ้านที่มีพื้นที่จำกัด เพราะระบบรากอาจทำลายโครงสร้างได้ในอนาคต


10. ไผ่กวนอิม
- ชื่อวิทยศาสตร์ Dracaena braunii Engl.
- วงศ์ Asparagaceae
ไม้พุ่มเตี้ย โตเต็มที่สูงราว 2-3 ฟุต ลำต้นเป็นแท่งตรงไม่แตกกิ่ง ใบรีปลายแหลม เดิมใบสีเขียวเข้ม ในเมืองไทยรู้จักกันในชื่อ “ไผ่กวนอิม” หรือ “กวนอิม” ชาวจีนใช้เป็นไม้ตัดใบคู่กับไม้ดอกอื่นๆ สำหรับบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพราะเชื่อกันว่าจะนำโชคลาภมาให้ผู้ปลูกเลี้ยง มีการดัดให้เป็นรูปทรงต่างๆ ขดเป็นวงไปมา หรือตัดแล้วมัดรวมกันเป็นฐานวางเจ้าแม่กวนอิม เพื่อให้ขายได้ง่ายขึ้น เป็นไม้ประดับที่ปลูกเลี้ยงง่าย แม้แต่กิ่งที่ขายเป็นไม้ตัดใบ เมื่อนำมาปักแจกันกลับไม้ดอกอื่นๆก็สามารถแตกรากได้ เติบโตได้ในที่มีแสงแดดน้อยปัจจุบันมีพันธุ์ใบด่างสีขาวที่เรียกว่า “กวนอิมเงิน” และด่างสีเหลืองที่เรียกว่า “กวนอิมทอง” และ “กวนอิมประกายแสด” ซึ่งปลูกเลี้ยงง่ายต้องการแสงแดดรำไรเช่นเดียวกัน ทั้งยังเป็นไม้ประดับที่ส่งจำหน่ายไปต่างประเทศมากมายในนาม Lucky Bamboo

ภาพ : คลังภาพบ้านและสวน, สำนักพิมพ์บ้านและสวน, my home