บ้านที่กลายเป็นพื้นที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตราวกับงานศิลป์
บ้านโมเดิร์นสีขาว มินิมัล เรียบง่าย โดดเด่นด้วยคาแร็กเตอร์ของเส้นสายที่โค้งมน และตั้งใจให้สถาปัตยกรรมเปรียบเสมือน White Cube ในอาร์ตแกลเลอรี
Design Directory : สถาปนิก สถา ณ – SaTa Na
จุดเริ่มต้นของบ้านหลังนี้มาจากต้องการขยายครอบครัว แต่ไม่อยากห่างไกลคุณพ่อ คุณแม่ เพื่อดูแลกันและกันอย่างทั่วถึง จึงนำไปสู่การสร้างบ้านบริเวณที่ดินว่างเปล่าภายในเขตรั้วเดียวกันกับบ้านเดิม โดยมีคอนเซ็ปต์การออกแบบบ้านที่น่าสนใจอย่างการเปรียบพื้นที่อยู่อาศัยให้เป็นดั่ง อาร์ตแกลเลอรี

“เพราะผมกับภรรยาทำงานสายอาร์ตทั้งคู่ จึงอยากได้บ้านที่มีลูกเล่น มีดีไซน์ และด้วยความที่เราชื่นชอบสเปซสีขาว ชอบเส้นสายโค้งที่มีมิติ จึงนำไอเดียตั้งต้นส่งต่อเป็นโจทย์ให้กับสถาปนิก” คุณมิกซ์ – ณัฐวุฒิ ลี้ไวโรจน์ เจ้าของบ้าน เล่าให้ฟังถึงไอเดียที่นำเสนอให้กับ คุณแฮ็กส์ – เฉลิมชัย อาสายศ สถาปนิกแห่ง สถา ณ สถาปนิก l Sata Na Architect ผู้ทำหน้าที่ร้อยเรียงความหลงใหลในงานศิลป์ของเจ้าของบ้าน นำไปสู่การออกแบบบ้านที่เชื่อมโยงวิถีชีวิตและศิลปะเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน รองรับครอบครัวขยายอันอบอุ่นทั้ง 3 สมาชิก พ่อ แม่ และลูกสาว

ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบ้านที่ไม่ขาดหาย เช่นเดียวกับศิลปะที่เป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิต
ด้วยที่ดินดังกล่าวตั้งอยู่ในบริเวณด้านหน้าบ้านหลังเดิมหรือบ้านของคุณพ่อคุณแม่ สถาปนิกจึงออกแบบให้พื้นที่ชั้นล่างเปิดโล่งทั้งหมด และกลายเป็นที่สำหรับจอดรถ พร้อมเปิดมุมมองไปทางด้านหลัง เปิดทางให้สามารถเดินเชื่อมต่อไปยังบ้านหลังเก่าได้ เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับบ้านเดิมที่คุ้นเคยให้ยังคงอยู่ และจัดวางพื้นที่อยู่อาศัยทั้งหมดอยู่ในชั้น 2 และชั้น 3 คล้ายกับบ้านสองชั้นที่ยกสูง
และด้วยคอนเซ็ปต์ที่อยากให้บ้านเป็นเหมือนอาร์ตแกลเลอรี ประกอบกับบริบทที่ค่อนข้างพลุกพล่าน แลดูขัดแย้งกับพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะอันสงบนิ่ง จึงออกแบบให้ตัวบ้านโอบล้อมด้วยผนังสีขาวทึบ เพื่อสร้างความเป็นส่วนตัว และเลือกเปิดช่องแสงในเฉพาะบางมุมเท่านั้น กล่าวง่ายๆ คือสถาปนิกทำหน้าที่เป็นคิวเรเตอร์ ช่วยคิวเรตบริบทภายนอกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งภายในบ้านเท่าที่จำเป็น ผ่านการใช้เส้นสายที่โค้งมน และลื่นไหล “เราอยากให้พื้นที่ในบ้านถ่ายทอดบรรยากาศราวกับอยู่ในอาร์ตแกลเลอรี ตัวบ้านจึงเลือกใช้สีขาวทั้งหมดเหมือนเป็น White Cube รูปทรงของอาคารก็คล้ายกับการหยิบจับแผ่นกระดาษหนึ่งแผ่น มาม้วนพับเป็นเส้นสายโค้ง ที่ช่วยกระจายแสงธรรมชาติเข้าไปในบ้านอย่างอ่อนโยน ลดทอนความแข็งกร้าวของผนังสีขาวผืนใหญ่ลงได้” คุณแฮ็กส์อธิบายถึงวิธีการจัดการแมสรูปทรงอาคารที่เรียบง่ายและไม่ซับซ้อนแม้แต่น้อย แต่กลับสร้างคาแร็กเตอร์ตัวบ้านให้โดดเด่นขึ้นอย่างชัดเจน


เพราะพื้นที่บ้านที่ค่อนข้างจำกัด ทั้งถูกห่อหุ้มด้วยผนังสีขาวทึบ พื้นที่ภายในจึงจัดเรียงให้มีคอร์ตยาร์ตอยู่ตรงกลางเพื่อเปิดรับแสงและลมธรรมชาติ เป็นที่จับจองของสระน้ำและต้นไม้ ตามโจทย์ที่เจ้าของบ้านมอบไว้ ช่วยสร้างมุมมองธรรมชาติไว้ภายในทดแทนการขาดหายไปจากบริบทโดยรอบ “เมื่อเราต้องการปิดกั้นจากภายนอกพอสมควร จึงต้องหาวิธีการนำแสงและลมเข้ามา ซึ่งการมีคอร์ตตอบโจทย์ที่สุดสำหรับบ้านหลังนี้ โดยรายล้อมด้วยฟังก์ชันสำคัญอย่าง พื้นที่รับประทานอาหาร พื้นที่นั่งเล่น ห้องทำงาน เป็นรูปตัวยู (U) ซึ่งแต่ละห้องได้รับแสงธรรมชาติที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามแต่ละช่วงเวลา และสามารถมองเห็นกันและกันได้ ไม่แบ่งแยกออกจากกัน รวมถึงห้องนอนในชั้นบน ก็สามารถมองลงมาเห็นกิจกรรมของชั้นล่างได้อีกด้วย”

ผู้อยู่อาศัยจึงยังคงรับรู้ถึงธรรมชาติรอบตัวได้เสมอทั้งจากแสงที่ลอดผ่าน เสียงน้ำที่ไหลเบา และสัมผัสเย็นของลมธรรมชาติ


ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์ลอยตัวง่ายๆ ในโทนสีน้ำตาลธรรมชาติ และรูปทรงสวยงามเหมือนจัดวางงานศิลปะบนพื้นที่หนึ่ง
มากไปกว่าการมีคอร์ตกลาง คือการสร้างสเปซดับเบิลวอลลุมบริเวณพื้นที่รับประทานอาหารต่อเนื่องไปกับคอร์ตยาร์ต ซึ่งช่วยทลายความคับแคบของพื้นที่ลงไป ทำให้บ้านโปร่งขึ้น ไม่อึดอัด และในบางเวลาบานประตูทุกบานก็ถูกเปิดออก เปิดรับลมธรรมชาติที่พัดผ่านไอเย็นจากสระน้ำให้ไหลเวียนเข้าไปภายใน บ้านจึงอยู่ได้อย่างสบาย ไม่ร้อน และมีความเป็นส่วนตัว


เพราะมีความเชื่อว่า แสง – เงา เป็นหนึ่งเดียวกับศิลปะและวิถีชีวิต
“ผมรู้สึกว่ามู้ดแสงในบ้านดีมาก” คือคำกล่าวที่คุณมิกซ์ เล่าให้เราฟังถึงการออกแบบที่ใส่ใจในแสงและเงา แม้ในข้อจำกัดที่เปิดมุมมองได้น้อยเพราะอยากเป็นส่วนตัว แต่สถาปนิกเองก็คิดค้นวิธีการออกแบบที่สามารถดึงแสงธรรมชาติเข้ามาในบ้านได้อย่างไม่น่าเชื่อ ความเฉียบคมทางไอเดียของบ้านหลังนี้ จึงสร้างลูกเล่นไปที่การนำแสงเข้ามาแบบ Indirect Light โดยใช้วิธีการก่อผนังขึ้นมาอีกชั้น และเน้นให้แสงธรรมชาติเข้ามาจากทางด้านบน หรือสกายไลต์โดยส่วนใหญ่ รวมถึงออกแบบให้ผนังภายในเป็นสีขาว โปร่ง สบายตา เมื่อแสงตกกระทบกับผืนผนัง จึงเกิดมิติของแสงที่นุ่มนวล ละมุนตา คล้ายกับผืนผนังในอาร์ตแกลเลอรี ทำหน้าที่ดิสเพลย์ ข้าวของ เครื่องใช้ ของตกแต่ง ที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปเหมือนกับนิทรรศการชั่วคราว

ขณะเดียวกันก็ขับเน้นของตกแต่งอย่างต้นไม้และแจกันให้ดูโดดเด่นดั่งผลงานศิลป์ภายใต้แสงเฉพาะจุด
“เราไม่เคยเจาะจงว่าพื้นที่ตรงนี้ต้องจัดวางแบบนี้เท่านั้น แต่เรากลับปล่อยให้ในแต่ละพื้นที่มีข้าวของวางอยู่อย่างที่ควรจะเป็น และปรับเปลี่ยนไปตามการใช้สอย สิ่งเหล่านี้นี่แหละที่สร้างเสน่ห์ให้กับพื้นที่ในบ้าน หรือกล่าวได้ว่าตัวบ้านเปรียบเสมือนแบ็กกราวนด์ให้กับงานศิลปะชิ้นเอก นั่นคือเรื่องราวชีวิตของคนในครอบครัว” เจ้าของบ้านกล่าวเสริม

เส้นสายในการออกแบบที่ร้อยเรียงเป็นจังหวะเดียวกันทั้งหลัง
เส้นสายโค้งและโทนสีขาว คือไอเดียตั้งต้นที่เจ้าของบ้านและสถาปนิกทำงานร่วมกัน กลายเป็นเครื่องมือในการออกแบบที่เอื้อให้บ้านอยู่สบาย มากกว่าแค่ความสวยงาม เส้นโค้งที่ปรากฎอยู่ภายนอก ยังคงนำมาใช้เป็นองค์ประกอบสำคัญในพื้นที่ด้านใน เพื่อให้ดูไหลลื่นเป็นหนึ่งเดียวกัน “เส้นโค้งจากภายนอกถูกหยิบมาใช้เป็นองค์ประกอบของฝ้าเพดาน บันได ช่องแสงวงกลม รวมไปถึงเคาน์เตอร์แพนทรีที่ออกแบบให้ดูราวกับ art piece ชิ้นหนึ่ง ทุกพื้นที่จึงดูกลมกลืนกันอย่างลงตัว เมื่อมองภาพรวม สถาปัตยกรรมของบ้านหลังนี้จึงไม่ได้พยายามจะโดดเด่นเหนือชีวิต หากแต่เติบโตไปพร้อมกับวิถีของผู้อยู่อาศัย ผ่านศิลปะและความงามที่ขับเคลื่อนไปอย่างสมดุล”

และใช้วัสดุน้อยชิ้นอย่าง ไม้ และกระเบื้องสีเท่านั้น



สร้างเอฟเฟ็กต์แสงงดงาม คล้ายปล่องไฟส่องสว่างกลางบ้านเมื่อยามค่ำคืน
ท้ายสุดแล้วบ้านหลังนี้ คือภาพสะท้อนที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ทั้งสามแกนเอาไว้ ทั้งด้านความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว บริบท และความชื่นชอบอย่างศิลปะ ได้อย่างกลมกลืน” คือคำกล่าวที่เราสามารถนิยามตัวตนของบ้านได้อย่างดี

เจ้าของ : คุณณัฐวุฒิ ลี้ไวโรจน์ และ คุณอรจิรา ลี้ไวโรจน์
สถาปนิก : สถา ณ – SaTa Na โดยคุณเฉลิมชัย อาสายศ
เรื่อง : Nantagan
ภาพ : Rungkit Charoenwat
ที่ตั้ง : กรุงเทพฯ