บ้านสไตล์ Modern Tropical กลางจาการ์ตา โอบล้อมสเปซภายใน ตอบโจทย์ภูมิอากาศร้อนชื้นของอินโดนีเซีย
ประเทศอินโดนีเซียซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณมรสุมใกล้เส้นศูนย์สูตร ทำให้สภาพอากาศของอินโดนีเซีย มีเพียง 2 ฤดูเท่านั้นคือ ร้อนกับฝน ดังนั้นที่อยู่อาศัยในแถบนี้ จึงประสบปัญหาความร้อนและความชื้นอยู่ตลอด การออกแบบบ้านให้อยู่สบายทั้งปี จึงเป็นโจทย์ท้าทายนักออกแบบเป็นอย่างยิ่ง NORA’S Residence เป็นงานออกแบบบ้านเดี่ยวสูง 3 ชั้น สไตล์ Modern Tropical ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ที่ออกแบบมาเพื่อตอบรับสภาพอากาศร้อนชื้นดังกล่าวได้เป็นอย่างดี

โดยมีโจทย์หลักคือการใช้หลักการของงานสถาปัตยกรรมเขตร้อน (Tropical Architecture) มาช่วยลดความร้อน ระบายอากาศ ควบคู่ไปกับการใช้วัสดุท้องถิ่น สร้างความอยู่สบายและกลมกลืนกับธรรมชาติ และตอบโจทย์การอยู่อาศัยในภูมิอากาศแบบร้อนชื้น นอกจากนั้น เรายังจะพาไปชมนวัตกรรมปรับอากาศระดับมืออาชีพ ที่ใส่ใจตั้งแต่บริการติดตั้ง ไปจนถึงการเลือกเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละบ้านในอินโดนีเซีย ที่ DAIKIN PROSHOP INDONESIA ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ ASEAN HOME TOUR โดยบ้านและสวนทีวีร่วมกับ Living ASEAN สนับสนุนโดย DAIKIN
Modern Tropical โปร่งโล่ง ลมดี แดดถึง

บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย ที่มีทั้งความชื้นสูง มีอากาศร้อน และเต็มไปด้วยความพลุ่กพล่านของผู้คน การออกแบบบ้านหลังนี้จึงมีโจทย์หลักคือทำให้บ้านอยู่สบาย รองรับการใช้งานของครอบครัว ที่มีพ่อแม่ลูกรวม 4 คน และยังสามารถใช้รับรองญาติๆ ที่จะแวะเวียนมาอยู่เป็นประจำได้ด้วย โดยนำความชอบสถาปัตยกรรมเขตร้อนของเจ้าของบ้านมาประยุกต์เข้ากับงานออกแบบ เพื่อตอบโจทย์ทั้งฟังก์ชัน ความเป็นส่วนตัว ความสวยงาม และความท้าทายของสภาพภูมิอากาศ
ลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมเขตร้อน คือระบายอากาศได้ดี โดยมักออกแบบให้มีช่องเปิดกว้างและทะลุทั่วถึงกัน เพื่อการถ่ายเทอากาศร้อนสะสมออกจากที่อยู่อาศัย ส่วนการจัดการกับความชื้นมักทำหลังคาทรงสูงและชัน ชายคายื่นยาว เพื่อช่วยป้องกันและระบายน้ำฝน อีกทั้งตัวพื้นบ้านยังเน้นยกพื้นสูงซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สืบต่อกันมา เพื่อให้บ้านพ้นระดับน้ำท่วม และกันความชื้นจากดิน นอกจากนั้นยังนิยมใช้วัสดุธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่นมาตกแต่ง เช่น ไม้ ไม้ไผ่ สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมภายนอก

ด้วยความที่โจทย์หลักคือการนำแนวคิดสถาปัตยกรรมเขตร้อนมาใช้กับบ้านหลังนี้ ซึ่งเป็นสไตล์ที่ บริษัทออกแบบ Nataneka Arsitek มีความถนัดและความหลงใหลอยู่แล้ว องค์ประกอบจึงลงตัวเหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศของจาการ์ตาที่ฝนตกชุก แดดแรง ความชื้นสูง รวมถึงการที่สถาปนิกมีความเชี่ยวชาญและเข้าใจปัญหาของภูมิประเทศเป็นอย่างดี จึงทำให้บ้านหลังนี้ตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่ดี ได้ทั้งฟังก์ชัน โซลูชัน และความสวยงาม

คุณ Jeffry Sandy หนึ่งในสถาปนิกหลักและผู้ก่อตั้ง Nataneka Arsitek เล่าให้ฟังว่าในตอนแรกที่ได้รับโจทย์ให้ออกแบบบ้านหลังนี้นั้นค่อนข้างเรียบง่าย เพราะรองรับการใช้งานของครอบครัวที่มีสมาชิกเพียง 4 คน แต่เนื่องจากครอบครัวยังยึดถือวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ให้ความสำคัญกับญาติๆ ด้วย จึงมีการขยายพื้นที่ใช้สอย เพิ่มห้องนอน และพื้นที่อื่นๆ เพื่อรองรับญาติๆ ที่มาเยี่ยมจากต่างจังหวัดได้
“เมื่อมีความต้องการที่หลากหลาย บ้านจึงมีขนาดใหญ่ขึ้น พอได้รับโจทย์มาเราก็เริ่มวางแผนการออกแบบอาคารนี้ที่แม้จะมีความต้องการค่อนข้างมาก แต่เรายังคงยึดหลักของสถาปัตยกรรมเขตร้อน เพื่อให้บ้านหลังนี้มีบรรยากาศแบบทรอปิคัล ตอบโจทย์ความต้องการของบ้านในภูมิอากาศแบบเขตร้อน”

ออกแบบบ้านตามหลักการออกแบบสถาปัตยกรรมเขตร้อน (Tropical Architecture)
ดังนั้นบ้านหลังนี้ จึงออกแบบบ้านให้ยกสูง โปร่งสบาย เพื่อระบายอากาศ แต่ความพิเศษที่เพิ่มเข้ามาคือ เมื่อถมพื้นให้ยกสูงขึ้นจากถนนแล้ว ก็ได้ยกพื้นที่ใช้สอยหลักของบ้านขึ้นชั้น 2 และชั้น 3 ปล่อยชั้นล่างไว้เหมือนเป็นใต้ถุน โดยใช้เป็นพื้นที่เซอร์วิส และพื้นที่จอดรถ
ทางเข้าบ้าน จะเริ่มจากสโลปซึ่งซ่อนอยู่ อันจะนำสู่พื้นที่ด้านบนที่แม้จะอยู่ชั้น 2 แต่ก็ตั้งใจออกแบบให้มีบรรยากาศเหมือนเป็นชั้นหนึ่งของบ้าน โดยที่ด้านหน้าทางเข้าออกแบบให้มีทั้งจุดนั่งพัก บ่อปลา และปลูกต้นไม้สร้างบรรยากาศ โดยใช้โทนสีกลมกลืนกับธรรมชาติ และใช้ไม้ในท้องถิ่นเข้ามาช่วยสร้างบรรยากาศ เช่น ฝ้า ผนัง ระแนง เฟอร์นิเจอร์ และส่วนตกแต่งต่างๆ รวมทั้งดีไซน์ช่องเปิดโดยรอบให้เปิดโล่งถึงกันทั้งหมด เพื่อให้เกิดการไหลเวียนของอากาศ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยลดความร้อนและความชื้นให้กับตัวอาคาร

พื้นที่อยู่อาศัยออกแบบให้เป็น Open Plan มีโถงเพดานสูง ติดประตูกระจกโดยรอบ เพื่อเปิดรับแสงธรรมชาติ แบ่งพื้นที่ใช้สอยเป็นทั้งโซนห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร และห้องครัว ที่ติดตั้งประตูกระจกแบบเข้ามุมได้ เมื่อเปิดออกจนสุดจะทำให้เกิดพื้นที่ Inside out เชื่อมต่อถึงกันกับสนามหญ้า และสระว่ายน้ำ ซึ่งรองรับการทำกิจกรรมและปาร์ตี้ของครอบครัว
คุณ Sukendro Sukendar Priyoso หนึ่งในสถาปนิกหลักและผู้ก่อตั้ง Nataneka Arsitek เล่าเพิ่มเติมถึงการออกแบบขนาดของอาคารด้วยว่า ถูกออกแบบให้สมดุลกันระหว่างพื้นที่ใช้สอยที่ต้องการกับขนาดของที่ดินที่จำกัด โดยได้เว้นระยะห่างของตัวบ้านที่ด้านข้างไว้ ที่ทำให้เหลือช่องว่างทั้งด้านซ้ายและขวา เพื่อเปิดให้มีช่องแสงเข้าถึงบ้านได้ โดยมีการออกแบบชายคาและติดตั้งระแนงกันความร้อนอีกชั้น ส่งผลให้การใช้พลังงานไฟฟ้าลดลง และช่วยให้เครื่องปรับอากาศทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

“บ้านหลังนี้เราใช้คอนเซ็ปต์เรื่องความสมดุลระหว่างพื้นที่ภายนอกและภายใน ให้แสงเข้ามาได้มากบ้านจึงรู้สึกสบาย เนื่องจากพื้นที่ชั้นล่างต้องรองรับโซนเซอร์วิส และที่จอดรถ 4 คัน เราจึงยกพื้นสูงเพื่อคืนพื้นที่สวนให้เจ้าของบ้าน เพื่อให้เพลิดเพลินกับวิวสวนได้อย่างเต็มที่ และเรายังวางตำแหน่งสระว่ายน้ำไว้ด้านหลัง เพื่อรวมองค์ประกอบเหล่านี้ไว้ด้วยกัน ทำให้ชั้นล่างยังคงรู้สึกเหมือนอยู่บนพื้นจริงๆ” คุณ Sukendro กล่าว


สร้างสมดุลระหว่างภายนอกและภายใน
จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของบ้านนี้ คือการออกแบบให้มีช่องเปิดขนาดใหญ่รับแสงธรรมชาติในช่วงกลางวัน และเพื่อให้ลมพัดผ่านในอาคาร ดังนั้นในเวลาที่ไม่ต้องการใช้เครื่องปรับอากาศ สามารถเปิดประตูกระจกให้อากาศหมุนเวียนตามธรรมชาติมากขึ้น นอกจากนี้ยังสร้างบรรยากาศแบบเขตร้อน โดยการเพิ่มสวนและปลูกต้นไม้ต่างๆ ตามบริเวณช่องเปิดในหลายมุม ให้ผู้อาศัยสัมผัสกับบรรยากาศแบบเขตร้อนอย่างแท้จริงทั้งภายนอกและภายในตัวบ้าน

แนวคิดหลักของบ้านหลังนี้คือ การระบายอากาศ ซึ่งสอดคล้องกับภูมิภาพแบบร้อนชื้น ประตูทุกบานภายในห้องรับแขกสามารถเปิดทะลุกับภายนอกได้ทั้งหมด และด้วยความที่บ้านหลังนี้สร้างขึ้นช่วงโควิด 19 กำลังระบาด จึงเป็นอีกหนึ่งโจทย์สำคัญที่จะต้องทำให้ภายในบ้านมีอากาศไหลเวียนถ่ายเทได้ดี จึงดีไซน์แบบ Open Plan เปิดพื้นที่เชื่อมถึงกัน และเน้นเปิดประตูกระจกออกได้สุดทุกบาน เพื่อต่อเนื่องกับพื้นที่ภายนอก และรับลมธรรมชาติจากภายนอกให้ไหลเข้ามาอย่างเต็มที่ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยรวมทั้งแขกผู้มาเยือนรู้สึกสบายมากที่สุด

นวัตกรรมเพื่อความสบายอย่างทั่วถึง พร้อมประหยัดพลังงาน
นอกจากจะออกแบบให้ลมพัดดี แดดส่องทั่วถึงแล้ว สิ่งหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในบ้านหลังนี้ที่ช่วยให้อยู่สบายมากขึ้นคือระบบปรับอากาศ จะเห็นว่าสถาปนิกออกแบบบ้านมาอย่างลงตัว สวยงาม มีความเนี้ยบ เรียบร้อย สบายตา ลงตัวทั้งดีไซน์และความอยู่สบายแบบบ้านยุคใหม่ ด้วยเลือกใช้เครื่องปรับอากาศระบบ VRV (Variable Refrigerant Volume) จาก Daikin ทั้งหลัง ซึ่งช่วยตอบโจทย์การสร้างความสบายสูงสุด โดยไม่ทำลายการออกแบบภายใน

นวัตกรรมเครื่องปรับอากาศระบบ VRV หรือระบบรวมศูนย์ มีจุดเด่นคือสามารถติดตั้งไว้บนฝ้าได้ โดยจะเห็นว่าในห้องนั่งเล่นซึ่งเป็นพื้นที่ Open Plan ขนาดใหญ่ เชื่อมต่อกับโถงเพดาน และสวนภายนอก แต่ไม่สังเกตเห็นเครื่องปรับอากาศเลย เพราะถูกซ่อนเอาไว้ในฝ้า จะมองเห็นเพียงหน้ากากแอร์ขนาดเล็กที่ปล่อยลมเย็นออกมาเท่านั้น โดยไม่มีตัวเครื่องมาทำให้รกสายตา

ด้วยการทำงานของระบบ VRV ที่รวมคอยล์ร้อนทั้งหมดไว้ที่เครื่องเดียว จึงเหมาะกับการใช้งานในห้องกว้างๆ มีโถงเพดานสูงเช่นภายในบ้านหลังนี้ ช่วยประหยัดพื้นที่ ลดความยุ่งยากในการติดตั้งภายนอก และคงความสวยงามของการออกแบบ รวมทั้งช่วยประหยัดพลังงานอีกด้วย
DAIKIN PROSHOP อินโดนีเซีย ศูนย์กลางนวัตกรรมเพื่อสภาพอากาศเขตร้อน
การเลือกใช้ระบบปรับอากาศที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพสูง อย่างระบบ VRV จาก DAIKIN ในบ้าน Modern Tropical หลังนี้ จึงสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่มากกว่าความเย็น แต่คือความสมดุลของสภาพอากาศที่ดีภายในอาคารและสร้างภาวะอยู่สบายภายในบ้าน

ดังนั้น ด้วยความเข้าใจของ DAIKIN รวมทั้งตระหนักถึงปัญหาที่ประเทศในภูมิภาคแถบอาเซียนต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็น การมีมลพิษสูง ความชื้นสูง และอุณหภูมิสูง โดยเฉพาะอินโดนีเซียไม่เพียงมีทั้งปัญหาด้านภูมิอากาศเท่านั้น แต่ยังพบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ละเลยเรื่องการเลือกใช้ระบบปรับอากาศให้ถูกต้องเหมาะสมกับการใช้งาน

คุณ Jimmy ตำแหน่ง Senior Sales Supervisor ของ Indonesia Central Region เล่าให้ฟังว่า ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผู้บริโภคในอินโดนีเซีย คือรู้จักเพียงเครื่องปรับอากาศแบบติดผนัง รวมทั้งยังสนใจเพียงการติดตั้งแบบเดิม ๆ ที่รู้จักกัน DAIKIN จึงเห็นโอกาสที่จะพัฒนาบริการและนำเสนอนวัตกรรมปรับอากาศเพื่อสุขภาวะการอยู่อาศัยที่ดีขึ้น
“ซึ่งปัญหานี้มาจากกลุ่มลูกค้าบ้านพักอาศัยเป็นหลัก โดยเฉพาะบ้านเดี่ยว พวกเขาไม่สนใจการกันความร้อน แค่อยากติดตั้งให้เรียบร้อย และได้เครื่องปรับอากาศที่ทำให้อากาศเย็นลงก็เพียงพอแล้ว ดังนั้น DAIKIN Indonesia จึ้งมองเห็นศักยภาพของตลาดนี้ เราจึงพยายามสร้างสิ่งใหม่ในอินโดนีเซีย และเป็นที่มาของการเปิด DAIKIN PROSHOP หรือศูนย์ให้บริการแนะนำและติดตั้งเครื่องปรับอากาศโดยผู้เชี่ยวชาญ ในปี 2016 ขึ้น”

โดย DAIKIN Proshop มีพันธกิจหลักคือให้บริการและนำเสนอระบบปรับอากาศที่ออกแบบเฉพาะบุคคลสำหรับบ้าน เพื่อดีไซน์ความสบายในรูปแบบที่เหมาะสม รวมทั้งเสนอโซลูชันคุณภาพอากาศภายในบ้าน เปรียบเสมือน One Stop Solution Shop ให้คำปรึกษาและโซลูชันที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล สำหรับกลุ่มลูกค้าบ้านระดับกลางถึงสูง โดยมีการทำงานระหว่างผู้เชี่ยวชาญจาก DAIKIN และนักออกแบบตั้งแต่เริ่มโปรเจ็กต์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของบ้านและแนะนำบริการให้เหมาะสมมากที่สุด
จุดเด่นและบริการของ DAIKIN PROSHOP

ผู้อำนวยการของ DAIKIN PROSHOP PT Usara Sinergi Pandega
คุณ Timmy Anggara Arthawardhana ผู้อำนวยการของ DAIKIN PROSHOP PT Usara Sinergi Pandega ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวแทนจำหน่าย DAIKIN อย่างเป็นทางการที่มีรวมกันมากถึง 44 แห่ง ได้แนะนำบริการของ DAIKIN PROSHOP ให้ฟังว่า สถานที่แห่งนี้ไม่เพียงเป็นร้านจำหน่ายสินค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์รวมบริการ ทั้งให้คำปรึกษา แรงบันดาลใจ และมอบบริการหลังการขายที่ดี

“เราต้องการให้ลูกค้าเข้าใจว่าแม้ว่า DAIKIN จะเป็นสินค้าที่ดี แต่บางครั้งก็อาจเกิดปัญหาบางอย่างได้จากการติดตั้ง ดังนั้นเราจึงต้องการแสดงให้เห็นว่าการติดตั้งอย่างถูกต้องควรเป็นอย่างไร โดยมีทีมงานจาก DAIKIN เข้ามาตรวจสอบและดูแลเอง เพื่อให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ จึงมั่นใจได้ว่าคุณจะได้ทั้งผลิตภัณฑ์ที่ดี พร้อมการติดตั้งที่ได้มาตรฐานด้วยเช่นกัน”

พื้นที่ให้บริการของ DAIKIN Proshop เน้นให้ลูกค้าสัมผัสประสบการณ์และทำความเข้าใจถึงการทำงานของเครื่องปรับอากาศได้หลากหลายรุ่น ตอบโจทย์สำหรับบ้านระดับกลางและพรีเมียมโดยศูนย์ฯ จะจัดแสดงให้เห็นการใช้งานในพื้นที่จริง เพื่อให้ลูกค้าที่มาเยี่ยมชมสัมผัสบรรยากาศ การใช้งานจริง และได้ลองจินตนาการว่าระบบปรับอากาศเหล่านี้จะอยู่ในบ้านได้อย่างไร
มีการจำลองพื้นที่เป็นห้องรับประทานอาหารที่เชื่อมต่อไปสู่ห้องนั่งเล่น ตกแต่งเสมือนอยู่ในบ้านจริงๆ และมีการแสดงให้เห็นการทำงานของระบบปรับอากาศ ซึ่งมีตั้งแต่เครื่องปรับอากาศ ช่องลม ไปจนถึงความสำคัญของการมีระบบฉนวนกันความร้อนที่ดี เป็นเหมือนเกราะป้องกันไม่ให้อุณหภูมิภายนอกเข้ามาลดประสิทธิภาพของเครื่องปรับอากาศลง รวมทั้งเป็นสาเหตุให้ใช้พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้อาศัย และเกิดความลงตัวระหว่างฟังก์ชันและความสวยงามของงานออกแบบ DAIKIN PROSHOP จึงมีการทำงานร่วมกับสถาปนิกและนักออกแบบภายใน ตั้งแต่ต้น เพื่อนำโจทย์ความต้องการของลูกค้ามาออกแบบและเลือกสรรระบบปรับอากาศให้เหมาะสมและสร้างสุขภาวะที่ดี รวมทั้งสร้างความมั่นใจว่าระบบปรับอากาศจะไม่เกะกะสายตา สอดคล้องกับการออกแบบที่สวยงามภายในบ้าน ซึ่งเป็นข้อแตกต่างของ DAIKIN กับแบรนด์อื่นๆ ที่มีเพียงร้านจำหน่ายสินค้าเท่านั้น
“เราพูดคุยให้คำปรึกษากับทั้งสถาปนิกและเจ้าของบ้าน ตั้งแต่ยังไม่มีการก่อสร้าง เพื่อร่วมกันออกแบบระบบปรับอากาศให้สวยงามและลงตัวตามขนาดของบ้าน จากนั้นเราจึงคำนวณราคา และดำเนินการติดตั้ง ไม่เพียงเท่านั้น ภายหลังติดตั้งแล้วเสร็จเรายังมีบริการหลังการขายที่ติดตามและดูแลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ความมั่นใจในสินค้าและบริการอย่างดีที่สุด” คุณ Timmy กล่าว

ปัจจุบัน DAIKIN PROSHOP มีดีลเลอร์ 44 ราย และมีโชว์รูมถึง 42 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยเน้นพื้นที่ที่มีการพัฒนาบ้านพักอาศัยระดับกลางถึงสูง เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าผู้ใช้งานจริงได้มากขึ้น และให้ความรู้เรื่องระบบปรับอากาศ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในตัวสินค้า และสามารถเลือกใช้งานได้อย่างเหมาะสม

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า Daikin ไม่ได้มุ่งเน้นแค่การขายสินค้า แต่เป็นการยกระดับมาตรฐานการอยู่อาศัยในภูมิภาคเขตร้อน โดยเฉพาะในบริบทที่เจ้าของบ้านต้องการระบบปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถออกแบบให้เข้ากับดีไซน์ของบ้านอย่างลงตัว และมอบความเย็นสบายอย่างยั่งยืน
.
ติดตามเนื้อหาเกี่ยวกับงานออกแบบในซีรีย์ ASEAN Home Tour สนับสนุนโดย DAIKIN ได้ใน บ้านและสวน ทีวี ทุกวันอาทิตย์ เวลา 10.15 น. อมรินทร์ ทีวี เอชดี ช่อง 34