บ้านสาบเมือง พื้นที่ร่วมอาศัยของครอบครัวและสตูดิโอออกแบบ
บ้านสถาปนิก รูปทรงกล่องเรขาคณิตนี้เป็นเหมือนภาษาสากล แต่สิ่งที่อยู่ภายในตัวตนยังมีจิตใจแบบคนเมืองเหนือหรือคนพื้นถิ่นที่ยังมีความเป็นล้านนา เหมือนตัวบ้านที่ยังมี Element หรือกลิ่นอายบางอย่างแบบล้านนาอยู่ บ้านนี้จึงได้ชื่อว่า “บ้านสาบเมือง”
Design Directory : สถาปนิก Studio Sifah


แม้ว่าการแยกบ้านเพื่อไปสร้างครอบครัวใหม่ของตัวเองนั้นอาจให้ความรู้สึกอิสระค่อนข้างมาก แต่ด้วยวัฒนธรรมของครอบครัวไทยก็ทำให้หลายคนเลือกที่จะอยู่ใกล้ชิดกับคนรุ่นปู่ย่าหรือตายายที่ได้ทั้งความอบอุ่นใจและการพึ่งพาอาศัยกันและกันระหว่างคนสามรุ่นมากกว่า เช่นเดียวกับ คุณสีฟ้า ศรชัยยืน และ คุณโน้ต-วรรัตน์ รัตนตรัย คู่รักนักออกแบบจาก Studio Sifah ที่ก่อนนี้ก็ได้แยกบ้านไปเพื่อเปิดบริษัทของตัวเอง แต่เมื่อถึงวันที่ต้องการสร้างครอบครัว ทั้งคู่ได้ตัดสินใจกลับมาอยู่ในรอบรั้วเดียวกับคุณแม่ที่เกษียณแล้วอีกครั้ง ในรูปแบบ บ้านสถาปนิก หรือโฮมออฟฟิศที่อยู่กับครอบครัว
“คุณแม่กับพี่สาวมาสร้างบ้านอยู่ตรงนี้ก่อน ตอนนั้นเราออกแบบบ้านให้เป็นรูปทรงตัวแอล (L) อยู่บนที่ดินประมาณ 200 ตารางวา จนเมื่อสีฟ้าอยากสร้างบ้านของตัวเองและอยากมีเวลาดูแลคุณแม่ด้วยก็เลยมาขอพื้นที่ราว 70 ตารางวาของแม่เพื่อสร้างบ้านหลังใหม่เพิ่ม พอรวมกันกับบ้านเดิมเลยกลายเป็นอาคารที่เรียงตัวต่อกันแบบตัวยู (U) และมีคอร์ตต้นไม้อยู่ตรงกลางสำหรับใช้งานร่วมกัน” คุณสีฟ้าเล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นให้ฟัง



บ้านสถาปนิก ผสานที่อยู่อาศัยและที่ทำงาน
ด้วยทำเลที่อยู่บริเวณหัวมุมถนนในซอย คุณโน้ตและคุณฟ้าจึงออกแบบให้ตัวอาคารหลบเข้ามาจากระยะถนน และมีลานไว้นั่งเล่นก่อนเข้าสู่พื้นที่ภายใน ประกอบกับจัดแลนด์สเคปช่วยเพิ่มส่วนของเนินดินเพื่อทำเป็นพื้นที่สวนกับปลูกไม้ยืนต้นเติมความสดชื่นให้ชั้น 2 ที่เป็นส่วนพักอาศัยด้วย ถ้ามองจากรูปด้านจะเห็นเป็นเนินทรงจั่วแต่ถ้ามองจากด้านข้างจะเป็นแนวดินตัดเฉียง และยังช่วยบังที่จอดรถกับทางเข้าสู่พื้นที่อยู่อาศัยไว้ด้านหลังให้มีความส่วนตัว

“เราแยกทางเข้าระหว่างบ้านกับออฟฟิศให้ต่างกันเพื่อแบ่งพื้นที่ใช้งานให้ชัดเจน อีกอย่างคือหน้าบ้านมีสายไฟระโยงระยางเยอะมาก ซึ่งเราทำอะไรไม่ได้ก็ต้องเลือกที่จะอยู่ร่วมกับบริบทนี้ด้วยการทำฟาซาดเอียงไปตามแนวถนน ช่วยบังทั้งแดดและมุมมองที่ดูรกตาให้คนในบ้าน โดยเลือกใช้ไม้เผาไฟที่มีสีดำให้ดูกลืนกับสายไฟไปเลย และเป็นไม้ที่ไม่ลามไฟมาช่วยเพิ่มความปลอดภัย เพราะอยู่ในระยะใกล้กันพอสมควร ส่วนอื่นเราใช้ภาษาสถาปัตยกรรมที่เป็นเรขาคณิตรูปทรงง่าย ๆ กับการวางผังภายในให้เป็นพื้นที่ของบ้าน 75 เปอร์เซ็นต์ ออฟฟิศ 25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งส่วนของออฟฟิศจะอยู่บริเวณชั้นล่างทั้งหมด”

จากรูปทรงเรขาคณิตสู่วัสดุดิบเปลือย
เพราะตัวออฟฟิศเป็นสตูดิโอออกแบบ ทั้งคู่จึงสนุกกับการเลือกใช้วัสดุที่เน้นการเปลือยผิวแบบดิบ ๆ ทั้งอิฐ ปูน เหล็ก และไม้ ตั้งแต่พื้นหน้าบ้านที่ปูด้วยอิฐมอญซึ่งวางเรียงแบบแนวตั้งทำให้เกิดเป็นแพตเทิร์นเล็ก ๆ ฝ้าเพดานเป็นปูนเปลือยที่โชว์รอยไม้แบบต่อเนื่องไปจนถึงภายใน เช่นเดียวกับเสาโครงสร้างและพื้นปูนเปลือย โดยเพิ่มงานไม้ในส่วนของกรอบประตูหน้าต่างมาช่วยเพิ่มสัมผัสให้ดูอบอุ่นขึ้น
“ส่วนของออฟฟิศเราสนุกไปกับงานที่ทดลองทำเองด้วย ทั้งผนังปูนโชว์รอยไม้แบบ การผสมแกลบในงานฉาบเพื่อสร้างเท็กซ์เจอร์ และก็มีผนังส่วนต่อเติมด้านหลังที่ลองใช้วัสดุใหม่ ๆ หรือพื้นปูนที่ลองใส่หินแคลไซต์ซึ่งมีขนาดเล็กเหมือนเม็ดทรายเข้าไปและเอาเศษหินชิ้นใหญ่บางส่วนวางลงไปด้วยเพื่อทำให้พื้นมีเท็กซ์เจอร์แปลกใหม่ แต่พอขึ้นไปข้างบนที่เป็นฟังก์ชันของบ้านก็ปรับมาใช้วัสดุที่มีผิวสัมผัสเรียบเนียนขึ้น ใช้หินเทียมบ้างแต่ด้าน ๆ หน่อย เพิ่มส่วนของพื้นไม้ให้มากขึ้น ผสมไปกับเสาและฝ้าปูนดิบเปลือยแบบข้างล่าง เพราะส่วนตัวไม่ชอบสีสันเลยเน้นเป็นโทนสีธรรมชาติของวัสดุมากกว่า”




ทั้งคู่ยังตั้งชื่อบ้านหลังนี้ว่า “บ้านสาบเมือง” โดยอธิบายความหมายให้ฟังว่า “สาบ ในภาษาเหนือ หมายถึง มีกลิ่นอาย เพราะว่าบ้านรูปทรงกล่องเรขาคณิตนี้ก็เป็นเหมือนภาษาสากล เหมือนกับเราที่ใส่เสื้อผ้าสมัยใหม่เป็นสากล แต่สิ่งที่อยู่ภายในตัวตนยังมีจิตใจแบบคนเมือง ซึ่งคนเหนือจะเรียกตัวเองว่า ‘คนเมือง’ ก็คือคนพื้นถิ่นที่ยังมีความเป็นล้านนา เหมือนตัวบ้านที่ยังมี Element หรือกลิ่นอายบางอย่างแบบล้านนาอยู่”






พื้นที่ส่วนตัวของครอบครัว
ในขณะที่ส่วนออฟฟิศเอื้อให้เกิดการเข้าถึงได้ชัดเจน ทางเข้าสู่ส่วนพักผ่อนของบ้านก็คล้ายจะแอบอยู่ด้านหลังเนินดินอย่างเงียบ ๆ พร้อมที่จอดรถขนาดพอดี 2 คัน กับบันไดเหล็กโปร่งนำไปสู่พื้นที่ชั้นบน
“ผังของบ้านคล้าย ๆ กับห้องชุดในคอนโดคือรวมทุกฟังก์ชันไว้ในชั้นเดียว ให้มีส่วนนั่งเล่นตรงกลางวางโซฟาเตี้ย ๆ มีครัวแพนทรี่สีขาวบิลท์อิน ต่อเนื่องไปกับส่วนกินข้าวที่วางเป็นโต๊ะยาวโปร่ง ๆ แล้วทำประตูบานเลื่อนให้ปิดแยกจากส่วนนั่งเล่นได้ป้องกันกลิ่นและควันเวลาทำอาหาร เฟอร์นิเจอร์เน้นแบบลอยตัว มีเฉพาะที่จำเป็นจริง ๆ เพื่อให้ปรับเปลี่ยนได้ตามช่วงวัย อย่างตอนนี้ของลูกก็จะเยอะหน่อย คือเราวางผังง่าย ๆ เปิดโล่งเพื่อมุมมองที่ปลอดโปร่งกับผนังกระจกที่เปิดกว้างออกสู่ต้นไม้ที่คอร์ตหน้าบ้าน เพราะมีฟาซาดสีดำช่วยพรางตาจากภายนอกอีกชั้น ก็เลยทำให้บ้านมีความเป็นส่วนตัว”

เมตร ใช้การลงฐานรากแบบแผ่นไม่ทับซ้อนกับส่วนของตัวบ้านเดิม ด้านบนเป็นเพดานปูนที่เจาะเว้นช่องแสงโดยใช้พื้นที่ด้านบนเป็นระเบียงนั่งเล่นได้



ต่อเติมครัวไทยให้เข้าถึงได้ทุกวัย
หลังจากบ้านสร้างเสร็จได้ราว 2 ปี ทั้งคู่ก็มีน้องสีฝุ่น สมาชิกตัวน้อยเพิ่มขึ้นมา จึงเริ่มมีการปรับและต่อเติมฟังก์ชันใหม่เพื่อรองรับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ทั้งเพิ่มห้องประชุมในส่วนออฟฟิศและต่อเติมครัวไทยที่เปิดโล่งอยู่หลังบ้านเชื่อมต่อไปถึงคอร์ตตรงกลางที่สามารถเป็นพื้นที่ให้ลูกสาวได้วิ่งเล่นและให้คุณแม่ของคุณฟ้าได้เข้ามาใช้ครัวพร้อมกับดูแลหลานสาวได้ด้วย
“เมื่อก่อนเราอยู่กันสองคนง่าย ๆ ก็ไม่ค่อยทำครัวเท่าไร แต่พอมีลูก เราเลยขอพื้นที่คุณแม่เพิ่มอีก 2-3 เมตร (หัวเราะ) สำหรับทำครัวไทยที่คนในออฟฟิศก็มาใช้งานได้ด้วย แต่ไม่อยากทำหลังคาปิดก็เลยออกแบบให้มีเพดานแบบ Flat Slap ที่ใช้ด้านบนเป็นระเบียงเชื่อมต่อจากบ้านชั้นบนสำหรับเป็นที่นั่งเล่น แล้วเจาะช่องเปิดยาว ๆ ไว้รับแสงและมองลงไปเห็นข้างล่างได้ด้วย เราอยากให้งานต่อเติมเป็นงานแห้งและไวเลยใช้โครงสร้างเหล็กผสมกับไม้ เทพื้นหนา 12 เซนติเมตรแล้วใช้เสาไม้ช่วยค้ำยันน้ำหนักตัวคอนกรีตด้วย พอทำเสร็จลูกสาวก็ใช้เป็นที่วิ่งเล่นได้เลย ส่วนตัวช่องเจาะที่ทำนูนขึ้นมาตรงระเบียงก็ยังกลายเป็นโต๊ะหรือที่นั่งเล็ก ๆ เวลาที่ลูกวิ่งเล่นเราก็นั่งชมวิวดอยสุเทพจากตรงนี้ได้เลย เมื่อก่อนเวลาคิดงานเรามักจะใช้เวลาช่วงระหว่างขับรถเพราะรู้สึกปลอดโปร่งกว่า แต่ตอนนี้เราอยู่บ้านนี้ได้นั่งมองต้นไม้หรืออยู่ในห้องทำงานก็มองเห็นธรรมชาติที่สบายตาก็ช่วยให้สมองสดชื่น และยังใช้เวลาอยู่กับครอบครัวไปพร้อม ๆ กันได้เลย”



เจ้าของ-สถาปนิก : Studio Sifah โดยคุณสีฟ้า ศรชัยยืน และคุณวรรัตน์ รัตนตรัย
เรื่อง : ภัทรสิริ โชติพงศ์สันติ์
ภาพ : อนุพงษ์ ฉายสุขเกษม,ณัฐวรรธน์ ไทยเสน
สไตล์ : Suntreeya
ที่ตั้ง : จังหวัดเชียงใหม่