Nokia3310

3310 รุ่งอรุณใหม่ของ Nokia

Nokia3310
Nokia3310

คุณยังจำสมัยที่ออกจากบ้านโดยไม่ต้องพกสายชาร์ตโทรศัพท์ได้หรือเปล่า สมัยที่โยนโทรศัทพ์ไว้ในกระเป๋าโดยไม่ต้องมองไปครึ่งค่อนวัน

สมัยที่โทรศัพท์ตกจากสะพานลอยเป็นเรื่องตลก สมัยที่แข่งกันจะเป็นจะตายกับคะแนนเกมงูและการคร่ำเคร่งส่งข้อความSMSด้วยปุ่มมือถือแค่12 ปุ่ม คุณยังจำโทรศัพท์ Nokia 3310 ในตำนานกันได้หรือเปล่า มันกำลังจะกลับมาและมันจะพาแบรนด์ Nokia กลับมาด้วย

Source: www.mirror.co.uk

ข่าวการกลับมาของโทรศัพท์มือถือที่ได้รับการยอมรับว่า “อึดที่สุดในโลก” ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้วงการโทรคมนาคมอีกครั้งไม่ใช่ด้วยเทคโนโลยีนำสมัยเพราะแม้จะ redesign มาแล้วแต่สเป็คของโทรศัพท์รุ่นนี้ก็เรียกได้ว่าเชยแหลก ซึ่งวัยรุ่นที่เกิดในยุคโทรศัพท์สมาร์ทโฟนอาจเห็นว่านี่เป็นเพียงฟีเจอร์โฟนที่ไม่ต่างกับ “มือถืออาม่า” แต่สำหรับคนที่เกิดในยุคปี2000 พวกเขาจะรู้สึกเหมือนกับได้พบเพื่อนเก่าอีกครั้ง นั่นเพราะจุดขายจริงๆของโทรศัพท์รุ่นนี้ในปี 2017 ก็คือ “กลิ่นแห่งความคิดถึง” ซึ่งจุดชนวนความผูกพันของใครก็ตามที่เกิดทันและต่างดีใจที่จะได้เล่น “เกมงู” กันอีกครั้งไหนๆสื่ออื่นก็เล่าเรื่องดีไซน์และสเป็คของโทรศัพท์รุ่นนี้กันไปหมดแล้วเราขอพาไปดูประวัติและเรื่องราวเบื้องหลังของบริษัทNokia พันธสัญญาของ Nokia 3310 และสิ่งที่จะตามมาในอนาคตกัน

Source: www.wikipedia.com

 เริ่มต้น

ย้อนกลับไปในปี1865 Nokia เริ่มต้นจากบริษัทผู้ผลิตเยื่อกระดาษกระทั่งก้าวเข้าสู่โลกอิเล็กทรอนิกด้วยการเป็นผู้ผลิตโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ในปี1977 ก่อนก้าวเข้าสู่โลกโทรคมนาคมไร้สายอย่างโทรศัพท์มือถือในปี1992 ตามลำดับ

Source: www.shutterstock.com

 ก้าวสู่ชัยชนะ

ในปี 2000 Nokiaได้ออกวางจำหน่ายโทรศัพท์มือถือที่เข้ามาปฏิวัติวงการโทรศัพท์เพื่อต้อนรับสหัสวรรษใหม่นั่นก็คือโทรศัพท์ Nokia3310 ด้วยราคาเปิดตัวประมาณ 17,500 บาท(สมัยนั้นถือว่ารับได้ไม่แพงเท่าไร) ผลปรากฏว่าฮิตทั่วบ้านทั่วเมือง ด้วยฟังก์ชันในตัวเครื่องที่มีทั้งปฏิทินเครื่องคิดเลขเกมงูฯลฯโดดเด่นด้วยความสามารถส่งข้อความได้มากกว่าโทรศัพท์มือถือเครื่องอื่นถึง 3 เท่าและที่เด็ดที่สุดก็คือสามารถเปลี่ยนหน้ากากให้ตัวเครื่องได้ด้วย

Source: www.nokia.com

 5 ปีที่เรียกว่ายุคทอง

โทรศัพท์ Nokia 3310 ผลิตเพื่อจัดจำหน่ายตั้งแต่ปี 2000 – 2005โดยเพียงแค่ 5 ปีกลับจำหน่ายไปได้ถึง 126 ล้านเครื่องนับได้ว่าเป็นโทรศัพท์มือถือที่ขายดีที่สุดในโลกทำให้Nokia กลายเป็นแบรนด์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกคำนวณง่ายๆว่าประชากรโลกทุกๆหนึ่งร้อยคนจะมี 2 คนใช้โทรศัพท์รุ่นนี้และนั่นก็ถือได้ว่าเป็น “ยุคทอง” ของ Nokia เลยทีเดียว

Source: www.garyturk.com

จุดเปลี่ยน

กระทั่งโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเริ่มเข้ามามีบทบาทแต่ Nokia ยังยืนกรานจะออกแบบโทรศัพท์แบบฟีเจอร์โฟนควบคู่ไปกับสมาร์ทโฟนในแบบของตัวเองซึ่งทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของ Nokia เริ่มมีปัญหากระทั่งการมาถึงของ iPhone ในปี 2007ก็เป็นอันตอกตะปูปิดฝาโลงให้ Nokia ไปโดยปริยายเพราะไม่ว่าจะพยายามเข็นสมาร์ทโฟนรุ่นอะไรออกมาก็ถูกตีพ่ายกลับไปทุกที(ยิ่งช่วงหลัง Samsung เริ่มมีสมาร์ทโฟนให้เลือกหลากหลายรุ่นและสเป็คด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่)

Source : www.memeburn.com

 บัลลังก์ถูกโค่น

หลังประสบปัญหาขาดทุนอย่างต่อเนื่อง Nokia จึงต้องขายกิจการโทรศัพท์ให้บริษัท Microsoft ในปี 2013 ซึ่งถือว่าเป็นดีลที่ทรยศต่อความภาคภูมิใจของชาวฟินแลนด์เลยทีเดียว เพราะ Nokia ถูกซื้อไปถือครองโดยชาวต่างชาติด้วยสนนราคา 7,900 ล้านเหรียญสหรัฐและเรื่องราวหลังจากนั้นก็เหมือนกับที่เราเห็น แบรนด์ Nokia ค่อยๆหายไปจากตลาดทีละน้อยๆ

 

การกลับมา

จนกระทั่งปี 2016 หลังจากที่ Nokia หมดสัญญาผูกพันกับ Microsoft ทาง HMD Global และ FIH Mobile จึงได้ร่วมกันซื้อ Nokia คืนด้วยราคา 350 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งเบื้องหลังการซื้อ Nokia คืนครั้งนี้คงทำให้ชาวฟินแลนด์กลับมารู้สึกคึกคักขึ้นบ้างเพราะบอร์ดบริหารของ HMD Global ก็เป็นเหล่าผู้บริหารจาก Nokia เดิมที่มีอายุงานเฉลี่ยกว่า 20 ปีและด้วยสโลแกนของบริษัทที่ว่า“Continuing the Nokia Mobile Phone Story” คงจะทำให้สาวกโนเกียได้ยิ้มกว้างกันอย่างแน่นอน

Source: www.wikipedia.com

สู่พรุ่งนี้ด้วยภาพจำของวันวานอันสวยงาม

การกลับมาของโทรศัพท์ Nokia 3310 จึงไม่ใช่แค่โทรศัพท์อีกรุ่นที่โผล่มาแล้วก็หายไปแต่คือประกาศคำสัญญาของเพื่อนเก่าว่า “เรากลับมาแล้วและเรายังเป็นคนเดิม” ยิ่งในวันที่ข้อมูลล้นโลกอย่างทุกวันนี้หลายคนเริ่มเบือนหน้าออกห่างจากอะไรที่มีคำว่า “Smart” นำหน้าโทรศัพท์ที่ไม่มากไม่น้อยไปกว่าความเป็น “โทรศัพท์” ด้วยราคาเพียงไม่ถึงสองพันบาท แถมต่อท้ายด้วยรหัสความเก๋าอย่าง Nokia 3310 คงจะเป็นที่ต้องการของนักสวนกระแสและเหล่าดีไซเนอร์(รวมทั้งมนุษย์Gen-X ด้วย) อย่างแน่นอน

Source: www.hmdglobal.com

สุดท้ายนี้การที่บริษัทหนึ่งจะแน่วแน่กับอะไรสักอย่างได้เทียบเท่า Nokia จนถึงขั้นปลูกฝังจิตวิญญาณลงในตัวพนักงานและผู้บริหารได้เช่นนี้ Nokia 3310 คงไม่ใช่เพียงแค่โทรศัพท์เครื่องหนึ่งสำหรับพวกเขาอีกต่อไปแต่ก็ไม่ใช่ว่า Nokia จะทำตัวอินดี้สร้างกระแสดราม่าเฉยๆเพราะอันที่จริงแล้วตลาดฟีเจอร์โฟนยังคงรุ่งโรจน์อยู่ในประเทศโลกที่สามไม่น้อยเลยทีเดียว(ใช่ครับไทยเรานี่ก็เป็นประเทศโลกที่สามเหมือนกัน) โดยปี 2016 ที่ผ่านมาตลาดฟีเจอร์โฟนทั่วโลกยังขายไปได้ถึง396 ล้านเครื่องเลยทีเดียว Nokia จึงคิดจะใช้ช่องว่างนี้ทวงบังลังก์ฟีเจอร์โฟนของตนคืนเพื่อกรุยทางสู่การผลิตสมาร์ทโฟน (ที่เคลมว่าราคาสมเหตุสมผลและมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม)อย่าง Nokia 3 Nokia5 และ Nokia 6 ในช่วงปลายปีนี้ให้คล่องตัวขึ้นแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าNokia 3310 จะเป็นเครื่องมือช่วยหักดิบโลกโซเชี่ยลที่หลายคนอยากจะ Digital Detox กันได้ไม่มากก็น้อยดังคำกล่าวปิดการขาย Nokia ให้ Microsoft เมื่อปี 2013 ที่ว่า“เราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ถึงกระนั้นเราก็พ่ายแพ้ ” ใช่แล้วล่ะ Nokia ในวันนี้…เรารู้แล้วว่านายไม่ได้ทำอะไรผิดและเราก็หวังว่าครั้งนี้นายจะไม่แพ้อีกนะ

 

เรื่อง: “วุฒิกร สุทธิอาภา”