บ้านที่ผสมผสานด้วยเฟอร์นิเจอร์ต่างสไตล์
บ้านสถาปนิก หลังนี้มาจากทาวน์โฮมสองหลังที่รื้อผนังหลังบ้านออกเพื่อเชื่อมสเปซในบ้านให้ต่อเนื่องกันเป็นเหมือนบ้านใหญ่หลังเดียว โดยตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สะสมต่างสไตล์ต่างดีไซน์ที่อยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกล่อม


ด้วยความที่เป็นบ้านจัดสรรประเภททาวน์โฮมที่อยู่ในโครงการย่านบางนา หน้าตาภายนอกบ้านจึงเป็นรูปทรงเรียบสไตล์โมเดิร์นคล้ายกล่องสีขาวที่ดูเหมือนกันไปทั้งหมด แต่เมื่อก้าวผ่านรั้วและประตูบ้านเข้าสู่ภายในแล้ว ต้องบอกว่าสไตล์การตกแต่งใน บ้านสถาปนิก หลังนี้ไม่ธรรมดาเลย
นั่นเพราะเจ้าของบ้านเป็นทั้งสถาปนิกและมัณฑนากรที่เคยเปิดบริษัทออกแบบของตัวเองและอาศัยอยู่ในบ้านกลางสุขุมวิท แต่เมื่อไลฟ์สไตล์ได้เปลี่ยนแปลงไป ทั้งคู่จึงเลือกมองหาบ้านที่ห่างออกจากแหล่งความวุ่นวายแต่ก็ไม่ได้ตัดขาดความเป็นเมืองไปอย่างสิ้นเชิง ทาวน์โฮมสไตล์โมเดิร์นเรียบที่นี่จึงค่อนข้างตอบโจทย์ เพราะสามารถนำเฟอร์นิเจอร์เดิมที่มีอยู่มาตกแต่งผสมผสานได้อย่างสนุก

สองทาวน์โฮมเท่ากับบ้านหลังใหญ่
คุณกัญจน์ ยมะสมิต สถาปนิกผู้เป็นเจ้าของบ้านตั้งใจเลือกบ้านหลังหัวมุมในซอยหนึ่งของโครงการ เพื่อให้ได้พื้นที่สงบและเป็นส่วนตัว ประกอบกับเมื่อเห็นด้านหลังบ้านมีที่ดินติดกับบ้านอีกหลังอย่างพอดิบพอดี จึงตัดสินใจซื้อทาวน์โฮมทั้งสองหลังนี้ไว้เพื่อให้คุณพ่อกับพี่ชายได้มาอยู่บ้านหลังติดกันนี้ด้วยเลย
“ตอนนั้นเราอยากได้บ้านที่เข้าอยู่ได้เลย เพราะถ้ารอสร้างใหม่ต้องใช้เวลา 2-3 ปีกว่าจะเสร็จ เลยคิดว่าค่อยมาปรับพื้นที่ใช้สอยภายในเองใหม่ ซึ่งโลเคชั่นตรงนี้ก็สะดวก ตัวบ้านก็ออกแบบมาได้ปลอดโปร่งโล่งดี มีลมหมุนเวียนสบาย แล้วพอมาเห็นบ้านสองหลังสองแปลงต่อกันคิดว่าน่าจะขยับขยายเพิ่มสเปซระหว่างกันได้ ก็เลยเอาที่จอดรถฝั่งหนึ่งออกแล้วทำเป็นสวนกว้าง ๆ ไว้นั่งมองแบบสบายตา คงเหลือที่จอดรถไว้แค่ฝั่งเดียวพอ ส่วนหลังบ้านที่หันชนกันก็เกิดไอเดียทุบรั้วด้านหลังออก ทำให้ได้พื้นที่เพิ่มมาอีกราว 4×6 เมตร ตอนแรกคิดว่าจะทำพื้นที่ใช้สอยนั่นนี่ แต่ด้วยสเปซที่ดีเลยต่อเติมให้เป็นพื้นที่ภายในต่อเนื่องกันระหว่างทั้งสองบ้าน ใส่หลังคา กั้นผนังกระจก เปิดรับแสงธรรมชาติสวย ๆ แล้วก็ใช้เป็นพื้นที่ลีฟวิ่งด้วยการวางโซฟาตัวยาว แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นห้องกินข้าวไปแล้วนะ ซึ่งโดยรวมทำให้บ้านดูลึกยาว มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นเหมือนบ้านเดี่ยว คือสามารถแยกความเป็นส่วนตัวและเชื่อมต่อส่วนกลางร่วมกันได้”



ใส่ฟังก์ชันด้วยเฟอร์นิเจอร์ลอยตัว
ก่อนซื้อบ้านหลังนี้ คุณกัญจน์เคยมีบ้านและคอนโดตากอากาศอยู่ที่ต่างจังหวัด แต่เมื่อตั้งใจจะใช้บ้านหลังนี้เป็นที่พักผ่อนหลัก จึงขายบ้านและคอนโดที่มีอยู่ แล้วย้ายเฟอร์นิเจอร์เดิมมาลงที่บ้านหลังนี้เกือบทั้งหมด ส่วนที่เหลือคือไม่มีสเปซให้วางแล้วจึงเก็บไว้ในโกดัง
“ตอนที่ทำงานออกแบบเรามีเฟอร์นิเจอร์เก็บไว้อยู่เยอะด้วย ทั้งที่ใช้เองและสำหรับใช้ในงาน ข้อดีคือเราสามารถย้ายเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวทั้งหมดนี้ไปมาตามมุมต่าง ๆ ของบ้านได้ และก็ย้ายเปลี่ยนได้อีกเรื่อย ๆ อย่างที่บอกว่าตรงกลางเดิมเป็นลีฟวิ่งแต่ตอนนี้ก็เปลี่ยนมาเป็นห้องกินข้าว เพราะเราขยายครัวเดิมในส่วนของคุณพ่อให้กว้างขึ้นเพื่อใช้เป็นครัวหลัก ทำให้สามารถวางเครื่องครัวและอุปกรณ์จานชามที่มีอยู่แล้วมากมายได้ และก็ให้ครัวเป็นพื้นที่ทำอาหารได้อย่างเต็มที่ด้วย”




ความไม่ธรรมดาจึงอยู่ที่การผสมผสานเฟอร์นิเจอร์ต่างดีไซน์ซึ่งมีทั้งสไตล์ Mid-century, Classic และ Natural ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกล่อม ทั้งยังต้องลงตัวกับพื้นที่มุมต่าง ๆ ภายในบ้านได้พอดี
“ก็เลยไม่สามารถบอกได้ว่าแต่งบ้านสไตล์ไหน เพราะเราผสมเฟอร์นิเจอร์คละกันไปหมด มีทั้งหวาย ไม้ และผ้า อาจจะไม่ได้เข้ากันแบบเป๊ะ ๆ แต่ก็ใช้สีช่วยเชื่อมโยงกันไป บางมุมใช้หมอนอิงช่วย แต่บางมุมก็เปลี่ยนฟังก์ชันไปเลยอย่างโซฟาบุผ้าตัวใหญ่ที่เราเอาไปวางไว้กึ่งกลางแจ้ง เพราะที่จริงควรเป็นหวายหรือไม้เทียม แต่เรามีโซฟานี้อยู่แล้วก็ใช้ไปก่อน คิดว่าถ้าพังก็ค่อยบุผ้าใหม่ที่เหมาะกับการใช้งานนอกบ้านแทน”

โดยเฉพาะเลาจน์แชร์สุดคลาสสิกอย่าง Eames Lounge Chair
ที่นำมาตกแต่งและใช้งานอยู่ในมุมนั่งเล่นหลัก

เติมดีไซน์ให้บ้านเป็นหนึ่งเดียว
เทคนิคสำคัญอย่างหนึ่งที่เจ้าของบ้านนำมาใช้สร้างบรรยากาศภายในบ้านให้ดูผ่อนคลายและสบายตาขึ้นคือเรื่องของโทนสี ซึ่งช่วยลดความจ้าของผนังสีขาวเดิมลง ด้วยการเปลี่ยนวัสดุปูพื้นกระเบื้องเดิมทั้งหมดเป็นหินอ่อนในโทนสีดำ
“พื้นใหม่เป็นหินอ่อนสีดำขัดหน้าฮอน (Honed Marble) ให้ผิวเรียบแต่ไม่เงา เพราะไม่ได้อยากให้บ้านดูลักชัวรี่ เน้นผิวด้าน ๆ แบบธรรมชาติ ลดการสะท้อนแสง ช่วยดรอปความสว่างจ้าในบ้านให้ผ่อนคลาย และไม่ลื่นเกินไปเวลาเดิน คือเราเอาหินมาเรียงเป็นกองสูงและให้ช่างเลือกหยิบวางคละกันไปเลยแบบไม่ต้องต่อลวดลาย ส่วนมุมมองแนวตั้งเราเพิ่มกรอบไม้พ่นสีดำเป็นเหมือนซุ้มติดผนังไม่ให้บ้านดูขาวเกินไป แต่ไม่อยากได้บัวสไตล์คลาสสิกเลยทำให้เป็นแผ่นไม้สีดำบาง ๆ ไม่ดูเทอะทะและเป็นเส้นนำสายตาเชื่อมยาวไปตลอดแนวบ้านทั้งสองหลัง ในบางจุดก็เพิ่ม Shutter หรือแผงบังตาที่ยกมาจากบ้านเดิมมาติดขอบผนังเพิ่มมิติการเชื่อมต่อระหว่างมุมในบ้านได้”




นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มโทนสีดำจากตู้บิลท์อินสำหรับเก็บของ ตู้ซ่อนงานระบบ และตู้ใช้งานในครัวเล็กซึ่งเน้นใช้วัสดุกระจกติดฟิล์มสีดำ เพราะต้องการให้ตู้ดูกลืนหายไปกับผนังแต่ขณะเดียวความเงาของกระจกก็ยังพอสะท้อนพื้นผิวให้มีมิติที่ไม่แบบราบจนเกินไป
“บ้านนี้ออกแบบมาค่อนข้างดีทำให้มีลมผ่านได้ และไม่ต้องเปิดแอร์ตลอดวัน อย่างตอนโควิด-19 เราไม่ได้ไปไหนเลยก็อยู่บ้านได้โดยไม่รู้สึกอึดอัด ดีที่ตัดสินใจเปลี่ยนที่จอดรถด้านหนึ่งให้เป็นสวนญี่ปุ่นกว้าง ๆ แล้วทำพื้นที่นั่งเล่นต่อจากตัวบ้านออกมา ต่อชายคา ยกพื้นขึ้นหน่อยแล้วก็วางเก้าอี้โซฟา นั่งมองสวนรับลมสบาย ปกติเราก็ใช้ทุกมุมทั่วบ้านเลย เปลี่ยนไปเรื่อย เพราะส่วนใหญ่เราชอบอยู่บ้าน ติดบ้าน อ่านหนังสือ ดูนั่นนี่ บางวันก็ไปฟาร์มที่ต่างจังหวัดบ้าง พอได้กลับมาอยู่บ้านก็เลยไม่เคยรู้สึกเบื่อ ถึงเวลาก็ลุกมาย้ายนั่นเปลี่ยนนี่ก็ได้บรรยากาศใหม่ ๆ ในบ้านได้ตลอด เพราะเราแต่งบ้านด้วยเฟอร์นิเจอร์หลายสไตล์ มองด้วยสายตาก็จะรู้เองว่าอันไหนเกินก็ย้าย ที่สำคัญคือตัวสถาปัตยกรรมต้องมีแสงมีลมที่ดีด้วย ที่เหลือเราก็หมุนเปลี่ยนไปมาได้เรื่อย ๆ ขอแค่มีสีที่เชื่อมโยงกันได้ก็พอ”



เจ้าของ-ออกแบบ : คุณกัญจน์ ยมะสมิต
เรื่อง : ภัทรสิริ โชติพงศ์สันติ์
ภาพ : นันทิยา บุษบงค์
สไตล์ : Suntreeya