ออกแบบสวนด้วยแนวคิด Universal Design เพื่อทุกคนในครอบครัว
เมื่อบ้านเป็นพื้นที่หลักของการใช้ชีวิตและการอยู่ร่วมกันของคนหลายช่วงวัย ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ เด็ก หรือแม้แต่ผู้ที่มีข้อจำกัดทางร่างกาย การออกแบบสวนที่สวยอย่างเดียวจึงอาจไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้อย่างเพียงพอ เท่ากับการสร้าง Universal Design Garden ที่ทุกคนสามารถใช้งานได้จริงและปลอดภัย
แนวคิด Universal Design Garden หรือการออกแบบเพื่อทุกคน จึงกลายมาเป็นสิ่งสำคัญและเป็นแนวทางที่จะทำให้สวนสวยสามารถรองรับการใช้งานของสมาชิกในครอบครัวทุกคนได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุล ซึ่งหลักการออกแบบทั้ง 7 ประการ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดสวนได้ ดังนี้

บ้านของคุณสุขนิจ – คุณจันทวันต์ เอกวิริยะกิจ
1. ออกแบบให้ทุกคนใช้งานได้อย่างเท่าเทียม (Equitable Use)
บ้านและสวนควรเป็นพื้นที่ที่ไม่แบ่งแยก และทุกคนสามารถใช้งานร่วมกันได้อย่างเท่าเทียม การออกแบบพื้นที่จึงควรคำนึงถึงการใช้งานร่วมกันของคนทุกกลุ่ม เช่น ม้านั่งพักผ่อนควรจัดวางในตำแหน่งที่เข้าถึงได้ง่าย มีร่มเงาจากต้นไม้ใหญ่หรือหลังคาโปร่งแสงช่วยกันแดด และมีอากาศถ่ายเท อาจมีพนักพิงพร้อมที่เท้าแขนในบางจุด เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถลุกนั่งได้สะดวก หรืออาจมีขนาดเล็ก บางจุดสามารถนั่งบนขอบแปลงปลูกได้สำหรับเด็ก ส่วนพื้นทางเดินในสวนควรออกแบบให้เรียบ ไม่มีอุปสรรคต่อการเดินหรือการใช้รถเข็น อาจมีทั้งบันไดและทางลาดควบคู่กัน เพื่อให้คุณตาคุณยายสามารถเดินเล่นหรือออกกำลังกายได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย ขณะเดียวกันเด็ก ๆ ก็สามารถสนุกสนานกับการปั่นจักรยานหรือลากรถของเล่นไปตามทางเดินที่คดเคี้ยวท่ามกลางพรรณไม้ได้อย่างอิสระ

บ้านของคุณศิริวรรณ – คุณศิระ อินทรกำธรชัย
2. มีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนการใช้ได้ (Flexibility in Use)
การวางแผนพื้นที่และองค์ประกอบต่าง ๆ ภายในสวน ควรมีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามกิจกรรม ไลฟ์สไตล์ หรือสมาชิกในบ้านที่เปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา โดยภายในสวนควรมีพื้นที่ว่างหรือเปิดโล่งบางส่วน ไม่ควรแบ่งย่อยตามการใช้งานอย่างถาวรมากจนเกินไป เช่น ออกแบบให้มีสนามหญ้าที่เป็นสนามเด็กเล่นในช่วงเช้า และสามารถเปลี่ยนให้เป็นพื้นที่จัดปาร์ตี้หรือปิกนิกในวันหยุด พร้อมทั้งเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์หรือของตกแต่งที่เคลื่อนย้ายง่าย อย่าง ม้านั่ง เก้าอี้พับ โต๊ะพับ กระถางต้นไม้ล้อเลื่อน หรือร่มสนาม ซึ่งสามารถจัดวางได้ใหม่ตามโอกาสและจำนวนผู้ใช้งาน เช่น บริเวณระเบียงไม้กลางสวนที่ตอนเช้าใช้เป็นลานออกกำลังกาย ในช่วงเย็นก็สามารถเพิ่มเฟอร์นิเจอร์ ปรับเปลี่ยนให้เป็นมุมรับประทานอาหารนอกบ้านของทั้งครอบครัวได้อย่างลงตัว

บ้านของคุณพนธ์นภัทร พยุหวรกุลชัย
3. ความเรียบง่าย ใช้งานง่าย (Simple and Intuitive Use)
การจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ ให้พอดี ไม่ซับซ้อน และเอื้อให้ทุกคนในบ้านสามารถเข้าถึงและใช้งานพื้นที่สวนได้โดยไม่รู้สึกยุ่งยาก อย่าง การวางผังสวนอย่างมีระบบ แบ่งพื้นที่ใช้งานให้ชัดเจน เช่น โซนนั่งพักผ่อน โซนผักสวนครัว หรือโซนเก็บของ โดยมีทางเดินเชื่อมโยงถึงกันได้สะดวกต่อเนื่องแบบที่ไม่ต้องเหยียบดินหรือเดินลัดสนามหญ้า และมีการแบ่งเส้นขอบระหว่างทางเดินกับแปลงปลูกให้ชัดเจน การตัดทอนวัสดุตกแต่งหรือของประดับที่เกินความจำเป็น เน้นใช้วัสดุหลักเพียงไม่กี่ชนิด และเลือกใช้ไม้พุ่มชนิดเดียวกันตลอดแนวทางเดิน จะทำให้สวนดูเป็นระเบียบเรียบร้อย สบายตา และดูแลรักษาได้ง่ายกว่าสวนที่มีองค์ประกอบย่อยจำนวนมากหรือมีขนาดใหญ่เกินพื้นที่จนทำให้รู้สึกอึดอัดต่อการใช้งาน

4. มีข้อมูลเพียงพอสำหรับการใช้งาน (Perceptible Information)
การจัดสวนที่ดีควรเอื้อต่อการใช้งานของเจ้าของบ้านและสมาชิกในครอบครัว รวมถึงช่วยให้ทุกคนสามารถดูแลพืชพรรณได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพานักจัดสวนหรือทีมงานดูแลสวนตลอดเวลา เช่น หากมีอุปกรณ์ที่ใช้ยากในการดูแลสวน อย่าง เครื่องตัดหญ้า เครื่องพ่นสารเคมี หรือระบบรดน้ำอัตโนมัติ จำเป็นต้องมีข้อมูลหรือคู่มือ เพื่อให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อพืชหรือผู้ใช้งานเอง ส่วนพรรณไม้อาจมีป้ายที่บอกข้อมูลไว้อย่างครบถ้วนและเข้าใจง่ายติดไว้ ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ วิธีดูแล สรรพคุณ หรือประโยชน์ในการนำไปใช้ โดยเฉพาะในแปลงผักหรือพื้นที่เพาะปลูก ควรมีป้ายบอกชื่อพืช รอบการเก็บเกี่ยว หรือรอบการเพาะเมล็ด ซึ่งนอกจากจะช่วยให้เจ้าของบ้านดูแลสวนได้ง่ายขึ้นแล้ว เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ธรรมชาติผ่านการสังเกต และลงมือปฏิบัติจริง ไปพร้อม ๆ กับการเล่นสนุกและผจญภัยในสวนด้วย

บ้านของคุณศุภวรรณ อัครวิฑิต
5. มีการออกแบบช่วยลดความเสี่ยง ข้อผิดพลาด และอุบัติเหตุ (Tolerance for Error)
สวนที่ดีไม่เพียงแค่สวยงามและใช้งานได้หลากหลายเท่านั้น แต่ยังต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในทุกรายละเอียด โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการใช้งานเป็นประจำ อย่าง ทางเดินควรเลือกใช้วัสดุที่ป้องกันการลื่น เช่น บล็อกปูพื้นแบบผิวหยาบ หินล้าง ทรายล้าง พื้นยางกันลื่น หรืออิฐประสาน แต่ไม่มันวาวหรือมีลวดลายมากจนเกินไป และต้องมั่นใจว่าไม่มีขอบเหลี่ยมหรือปลายแหลมที่อาจเป็นอันตราย หรือถ้ามีพื้นต่างระดับควรเน้นให้ชัดเจน เช่น สีพื้นต่างกัน หรือวัสดุต่างกัน พร้อมทั้งติดตั้งระบบไฟฟ้า โดยใช้โคมฝังพื้นหรือเสาเตี้ยที่ให้แสงนุ่ม ไม่แยงตา เพื่อป้องกันการสะดุดหรือล้มในเวลากลางคืน
หากมีบ่อน้ำ ควรทำรั้วล้อมรอบสูงอย่างน้อย 1.2 เมตร โดยไม่มีช่องว่างที่เด็กสามารถปีนหรือลอดออกได้ เพื่อป้องกันเด็กตกน้ำหรือรถเข็นไหลออกนอกเส้นทาง ส่วนต้นไม้ควรหลีกเลี่ยงชนิดที่มีหนาม ใบแหลม มีน้ำยางระคายเคือง หรือมีพิษ เช่น กระบองเพชร โป๊ยเซียน หรือตีนเป็ดน้ำ และควรหมั่นตัดแต่งพุ่มไม้ให้โปร่ง โล่ง สามารถมองเห็นทั่วถึง เพื่อความปลอดภัยและป้องกันอันตรายจากกิ่งที่เปราะหัก

6. สะดวกสบาย ออกแรงน้อย ดูแลง่าย (Low Physical Effort)
สวนที่ดีควรเลือกและจัดวางองค์ประกอบให้สอดคล้องกับผู้อยู่อาศัยและขนาดของพื้นที่บ้าน เพื่อให้ใช้งานได้สะดวก และไม่เกินกำลังในการดูแล เช่น การเลือกใช้พรรณไม้ที่ดูแลง่าย ทนแล้ง โตช้า และไม่ต้องตัดแต่งบ่อย อย่าง หมากผู้หมากเมีย พลูด่าง ซานาดู ลิ้นมังกร บัวดิน หญ้าเบอร์มิวดา หรือเศรษฐีเรือนใน โดยอาจเน้นการปลูกลงดินมากกว่าลงกระถาง เพราะดินสามารถเก็บความชื้นได้นานกว่า จึงช่วยลดความถี่ในการรดน้ำ และไม่ต้องเปลี่ยนกระถางเมื่อต้นไม้โตจนรากแน่น อีกทั้งยังอาจเลือกใช้พืชชนิดเดียวกันหรือมีความต้องการใกล้เคียงกันในแต่ละกลุ่มหรือแปลงปลูก เพื่อให้ดูแลง่าย ไม่ต้องแยกวิธีรดน้ำหรือแบ่งการใส่ปุ๋ย นอกจากนี้ รายละเอียดการออกแบบ อย่าง การยกแปลงผักให้สูงในระดับที่เอื้อมถึงได้ง่ายโดยไม่ต้องก้มมาก ก็ช่วยลดอาการปวดหลังของคุณแม่ หรือผู้สูงอายุที่ชอบทำสวนได้

7. มีขนาด-พื้นที่เหมาะสมต่อการเข้าถึงและการใช้งาน (Size and Space for Approach and Use)
พื้นที่สีเขียวที่ดีควรเชื้อเชิญให้ทุกคนรู้สึกอยากใช้เวลาอยู่ในสวนนานๆ ไม่ควรออกแบบพื้นที่ให้ดูอึดอัดหรือปล่อยให้รกจนเกินไป การกำหนดสัดส่วนของพื้นที่ปลูก พื้นที่ว่าง และพื้นที่ใช้งาน จึงควรมีความสมดุล มีการเว้นระยะห่างระหว่างองค์ประกอบต่าง ๆ ไม่ให้แน่นหรือแออัดจนเกินไป เพื่อให้ผู้ใช้งานทุกกลุ่มสามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก อีกทั้งการจัดวางตำแหน่งพื้นที่ใช้งานในสวนควรอยู่ในจุดที่มีความเป็นส่วนตัว เพื่อให้รู้สึกปลอดภัยและใช้งานได้อย่างผ่อนคลาย แต่หากพื้นที่โล่งรอบบ้านมีข้อจำกัด เช่น อยู่ติดถนนใหญ่ หรืออยู่ติดเพื่อนบ้าน การปลูกไม้พุ่มหรือไม้เลื้อย เช่น โมก ชาฮกเกี้ยน หรือเล็บมือนาง ก็ช่วยเพิ่มความเป็นธรรมชาติให้กับสวน เป็นแนวกรองสายตา และช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกได้เช่นกัน
ติดตาม บ้านและสวน