ยกระดับคราฟต์ไทย สะกดใจโลกยุคใหม่ด้วยมรดกองค์ความรู้ภูมิปัญญา
งานศิลปหัตถกรรมไทย หรือ “งานคราฟต์” ที่เรารู้จักกันในวันนี้ ได้ก้าวข้ามจากการเป็นเพียงมรดกทางภูมิปัญญาที่ควรค่าอนุรักษ์ สู่การเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจชุมชนที่เปี่ยมศักยภาพ งานคราฟต์ซึ่งสะท้อนเรื่องเล่า ทักษะ และภูมิปัญญาท้องถิ่น วันนี้ได้รับการต่อยอดอย่างสร้างสรรค์ ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น และยกระดับเป็นผลิตภัณฑ์ใกล้ตัวที่ชวนซื้อหา
ด้วยบทบาทของสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ SACIT ที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมคราฟต์ผ่านแนวทาง “สืบสาน สร้างสรรค์ และส่งเสริม” มาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งสนับสนุนหัตถอุตสาหกรรมไทยให้สามารถตอบโจทย์ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านกลไกหลากหลายไม่ว่าจะเป็นการยกระดับศักยภาพผู้สร้างสรรค์งานคราฟต์ในท้องถิ่นต่างๆ การอนุรักษ์ควบคู่ไปกับการเสริมเสน่ห์ให้กับองค์ความรู้ภูมิปัญญาดั้งเดิม และการเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้าถึงโอกาสการสร้างรายได้ผ่านงานศิลปหัตถกรรม ทั้งหมดนี้ มาจากความตั้งใจที่จะเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในระดับชุมชน ไปจนถึงสร้างโอกาสทางสังคมให้กับชุมชนชาวหัตถศิลป์อย่างยั่งยืน
โดยหนึ่งในโครงการสำคัญที่สะท้อนเจตจำนงนี้ คือ SACIT Craft Collection 2025 โครงการคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่สร้างความยั่งยืนให้กับงานศิลปหัตถกรรมไทย ที่มุ่งเน้นการสืบทอดมรดกช่างฝีมือไทย เชิดชูงานคราฟต์ร่วมสมัยที่ปรับปรุงให้เข้ากับชีวิตสมัยใหม่ พร้อมสร้างเครือข่ายเศรษฐกิจชุมชนให้เข้มแข็งและยั่งยืน โดยโครงการนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของ SACIT ในการเสริมพลังให้งานศิลปหัตถกรรมไทย รวมถึงสร้างเสน่ห์ดึงดูดให้งานคราฟต์ไทยน่าใช้ และเข้าไปใกล้ชิดกับชีวิตของคนทั่วไปมากยิ่งขึ้น

เบื้องหลังแนวคิดและความตั้งใจของโครงการ SACIT Craft Collection 2025 ถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองของ ผศ.ดร.อนุชา ทีรคานนท์ ผู้อำนวยการ สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) ซึ่งจะพาเราย้อนมองเจตนารมณ์ของโครงการนี้ที่ไม่ได้จบอยู่ที่การคัดสรรงานคราฟต์ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการปรับภาพลักษณ์ใหม่ของ SACIT ที่มาพร้อมกับเจตนารมณ์การส่งเสริมงานคราฟต์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเผยแนวทางในการคัดสรรงานศิลปหัตถกรรมไทยยุคใหม่ ที่จะมีศักยภาพเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กับชุมชนในทุกภูมิภาค
เจตนารมณ์เดิมในภาพลักษณ์ใหม่เจตนารมณ์เดิมในภาพลักษณ์ใหม่
การยึดมั่นในแนวคิดของสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ SACIT คือการมุ่งมั่น “สืบสาน สร้างสรรค์ และส่งเสริม” งานศิลปหัตถกรรมไทยให้มีคุณค่า พร้อมปรับองค์ความรู้ภูมิปัญญาเก่าแก่ให้สอดรับวิถีชีวิตปัจจุบัน โครงการ SACIT Craft Collection 2025 ก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่ตั้งใจให้เป็นโครงการส่งเสริมภาพลักษณ์งานศิลปหัตถกรรมไทยใหม่ให้น่าใช้น่าครอบครอง ซึ่งความตั้งใจนี้ ก็ได้สะท้อนผ่านการปรับภาพลักษณ์ใหม่ขององค์กร ที่มีความชัดเจนขึ้นในฐานะผู้ผลักดันและ “ปั้นดาว” ผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมในยุคนี้ ดังที่ผศ.ดร.อนุชา ทีรคานนท์กล่าวว่า
“ตัวโลโก้ใหม่ของ SACIT นี้สื่อถึง “ดาว” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการส่องแสงและการนำทาง เปรียบเสมือนภารกิจหลักของสถาบันฯ ในการ สืบสาน สร้างสรรค์ และส่งเสริมงานศิลปหัตถกรรมไทย โดยเราเปรียบเสมือนนักปั้นที่มีหน้าที่ผลักดันช่างศิลปหัตถกรรมให้เปล่งประกาย เป็น “ดาว” อีกดวงหนึ่งในโลกของงานศิลปหัตถกรรมไทย“
สิ่งเหล่านี้คือที่มาของโครงการ SACIT Craft Collection 2025 ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 แล้ว โดยมีเป้าหมายในการคัดสรรและรับรองผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นใน 3 มิติ ได้แก่ Master Craft งานที่มีรากฐานจากภูมิปัญญาดั้งเดิม Trendy Craft งานที่ตอบโจทย์กระแสนิยมและแฟชั่นปัจจุบัน และ Conscious Craft งานที่ใส่ใจในเรื่องความยั่งยืน ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
“โดยปีนี้เราได้ให้รายละเอียดลึกซึ้งขึ้น และกรรมการคัดสรรฯ แต่ละท่านล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน จึงนับเป็นโอกาสอันดีในการคัดสรรผลงานที่จะสามารถต่อยอดงานศิลปหัตถกรรมไทยไปสู่ระดับสากลต่อไปได้ครับ”
อย่างไรก็ตาม การนำพางานคราฟต์จากประตูบ้านผู้ผลิตก้าวไปสู่เวทีโลกนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ความท้าทายทั้งการสืบสานงานฝีมือไม่ให้หายไปตามกาลเวลา การปรับสิ่งที่ตกทอดมายาวนานให้ตอบโจทย์ตลาดใหม่ รวมไปถึงการสร้างระบบนิเวศงานคราฟต์ให้ยั่งยืนมากกว่าด้านสิ่งแวดล้อม จึงเป็นความคาดหวังของ SACIT Craft Collection 2025 ที่จะต้องตอบโจทย์รอบด้านเพื่อทำงานคราฟต์ให้เป็นที่ต้องการในท้องตลาด และเพื่อยังประโยชน์สูงสุดแก่ชุมชนผู้ผลิตงานศิลปหัตถกรรมอย่างแท้จริง
ใช้เรื่องเล่าก้าวข้ามความท้าทายใช้เรื่องเล่าก้าวข้ามความท้าทาย
“เราต้องยอมรับว่า ผู้บริโภคทุกวันนี้เป็น Smart Customer ครับ โดยเฉพาะในโลกของงานคราฟต์ ซึ่งหากมองตามความเป็นจริงมันไม่ใช่ของที่ขาดไม่ได้อย่างยาสีฟัน หรือสบู่ คือเป็นสิ่งที่คนซื้อเพราะ “ต้องการ” ไม่ใช่เพราะ “จำเป็น” ผศ.ดร.อนุชา อธิบายถึงความท้าทายที่สำคัญที่สุดสำหรับงานศิลปหัตถกรรม นั่นคือการเป็นสินค้าทางเลือกหรือเป็นสินค้าสำหรับสะสมมากกว่าใช้สอยในชีวิตประจำวัน ในแง่หนึ่ง การออกแบบผลิตภัณฑ์งานคราฟต์ในปัจจุบันจึงต้องเพิ่มหน้าที่ใช้สอยหรือฟังก์ชันที่ใช้ได้จริงเข้าไป แต่สำหรับผศ.ดร.อนุชา การจะทำให้งานฝีมือน่าสนใจและมีเสน่ห์พอ จะต้องอาศัยการใส่คุณค่าในเชิง “ความหมาย” เข้าไปด้วย
“บางคนซื้อเพื่อความสุขทางใจ บางคนซื้อเพื่อชื่นชมความงาม หรือแม้กระทั่งเพื่อสะสมและแสดงรสนิยม แต่ในปัจจุบัน ผู้บริโภคยังคาดหวังว่าสิ่งที่พวกเขาเลือกจะต้องตอบโจทย์สังคม คือสามารถสะท้อนความเชื่อ มุมมอง และบทบาทต่อสังคมและโลกใบนี้ ของพวกเขาได้ด้วย“

“นี่คือเหตุผลว่าทำไม “Story” และ “Value” ที่แนบมากับงานศิลปหัตถกรรมจึงสำคัญอย่างยิ่ง เพราะวันนี้งานฝีมือไม่ใช่แค่สินค้าอีกต่อไป แต่เป็นเหมือนการส่งต่อความตั้งใจของผู้ผลิตไปยังผู้ใช้ หรือมันคือบทสนทนาของคนที่มีต่อโลก เพราะฉะนั้น เรื่องเล่าที่สื่อผ่านผลิตภัณฑ์จึงกลายมาเป็นหัวใจสำคัญของงานคราฟต์ยุคใหม่ ไม่ใช่แค่เพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้สินค้า แต่เพื่อสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิตกับผู้ใช้ผ่านคุณค่า ความเชื่อ และความรับผิดชอบร่วมกันต่อโลกใบนี้”
จากมุมมองนี้ การเล่าเรื่องหรือ “Storytelling” จึงจะเป็นสิ่งที่ SACIT ให้ความสำคัญเป็นลำดันต้นๆ เพราะการคัดสรรผลิตภัณฑ์ใดผลิตภัณฑ์หนึ่งจะไม่จบอยู่ที่เพียงการเพิ่มมูลค่า แต่คือการวางทิศทางให้ผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นได้มีโทนเสียงเป็นของตัวเองอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้ผลิตงานคราฟต์ได้รู้จักตำแหน่งแห่งที่ของตนในระบบนิเวศงานสร้างสรรค์ และสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้คนได้อย่างยั่งยืน
ในขณะที่ SACIT เองก็จะทำหน้าที่คล้ายเป็นล่ามแปลภาษา ที่จะช่วยถอดรหัสคุณค่าและส่งความตั้งใจของผู้ผลิตให้ผู้คนยุคใหม่เข้าใจและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ผ่านโครงการ SACIT Craft Collection 2025 ที่ตัวผศ.ดร.อนุชาเอง ก็จะได้ทำหน้าที่เป็นผู้คัดสรร คัดกรอง และจัดวางตำแหน่งให้ผลิตภัณฑ์งานคราฟต์ไทยได้มีที่ยืนในตลาดร่วมสมัยอีกด้วย
องค์ความรู้และภูมิปัญญาดั้งเดิมสู่แบรนด์ที่ถูกรับรู้ในต่างประเทศ
“สิ่งที่ผู้บริโภคทั่วโลกกำลังมองหาก็คือ “เรื่องราว” นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราจัด SACIT Craft Collection 2025 ในวันนี้ เพื่อรับรองและยกระดับผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทยผ่านการจัดกลุ่มออกเป็น 3 ประเภทที่มีคุณค่าแตกต่างกัน การจำแนกประเภทเช่นนี้ไม่ใช่เพียงกลยุทธ์ทางการตลาด แต่คือวิธีคิดใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ คือเป็นผู้บริโภคที่ไม่ได้เลือกซื้อเพียงจากความสวยงามหรือฟังก์ชัน แต่เลือกเพราะรู้สึกว่าสิ่งนั้นตรงกับชีวิตเขา”
ผศ.ดร.อนุชาเล่าต่อถึงการให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์เรื่องเล่าในโครงการ SACIT Craft Collection 2025 ที่จะเป็นการจับกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการคัดสรรเพื่อให้สามารถสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้ตรงและชัดเจน โดยมีความคาดหวังสูงสุด คือการนำพาผลิตภัณฑ์คราฟต์ไทยไปต่างประเทศ เพื่อการสร้างระบบนิเวศของงานคราฟต์ที่สามารถยกระดับเศรษฐกิจชุมชนให้มั่นคงแข็งแรงขึ้น
“ความคาดหวังของสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทยต่อการจัดงานในปีนี้มีเป้าหมายที่ชัดเจนครับ เราไม่ได้ต้องการเพียงแค่จัดแสดงผลงานเท่านั้น แต่ตั้งใจอย่างยิ่งที่จะผลักดันงานศิลปหัตถกรรมไทยสู่ตลาดต่างประเทศ ให้สามารถสร้างรายได้กลับคืนสู่ประเทศ และยกระดับเศรษฐกิจของแต่ละชุมชนอย่างเป็นรูปธรรมได้” ผศ.ดร.อนุชากล่าวต่อ
“ปีนี้เราจึงกลับมาพัฒนาโครงการให้มีความชัดเจนและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดกลุ่มผลิตภัณฑ์ หรือ Categorize ผลิตภัณฑ์ให้อยู่ในประเภทที่เหมาะสม กระบวนการกำหนดเกณฑ์ต่างๆ ก็มีการหารือร่วมกันอย่างรอบด้าน ทั้งจากนักวิชาการ นักออกแบบ และผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา เพื่อให้มั่นใจว่าแนวทางที่ใช้มีความเหมาะสมและสามารถนำไปใช้จริงได้ เพื่อให้สามารถส่งความตั้งใจของผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคได้ และต่อยอดไปสู่ตลาดโลกได้”

ผศ.ดร.อนุชา ยังกล่าวต่อว่า เรื่องเล่าที่จะถูกส่งผ่านงานคราฟต์ควรจะเป็นรูปธรรมในลักษณะของแบรนด์ ซึ่งไม่ใช่เพียงการตั้งชื่อหรือออกแบบโลโก้ใหม่เข้ามาสวมใส่สินค้าเดิม แต่คือการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สามารถสื่อสารตัวตน รากเหง้า และจุดยืนของผู้ผลิตอย่างเด่นชัด โดยแบรนด์ที่ดีจะต้องสามารถบอกเล่าเรื่องราวที่มีคุณค่า นำเสนอเสน่ห์ที่น่าซื้อหา เชื่อมโยงกับองค์ความรู้ ภูมิปัญญา และอัตลักษณ์ของท้องถิ่นได้อย่างลึกซึ้ง เพราะสิ่งเหล่านี้คือจุดต่างที่ผู้บริโภคยุคใหม่กำลังแสวงหา เป้าหมายของโครงการจึงจะไม่ได้จบอยู่แค่การสนับสนุนให้ช่างฝีมือมีผลิตภัณฑ์ที่ขายได้ แต่ต้องขยับไปยังก้าวต่อไปคือการสร้างแบรนด์ที่เล่าเรื่องได้ ชวนให้ครอบครอง และสามารถแข่งขันได้ในเวทีระดับโลกอย่างแท้จริง ดังที่ตัวผู้อำนวยการเองกล่าวเสริมว่า
“เรื่องของแบรนด์คือหัวใจสำคัญ การส่งเสริมของเราไม่ได้หยุดอยู่แค่การเปิดพื้นที่ให้กับช่างฝีมือหรือผู้ผลิตงานศิลปหัตถกรรม แต่เรากำลังมุ่งสู่การปลุกปั้นให้พวกเขาได้สร้างแบรนด์ของตัวเอง เป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพในการแข่งขันและเป็นที่ยอมรับในระดับสากลได้“
“แม้ทักษะหรือเทคนิคจะคล้ายกัน แต่ตัวตนของผลิตภัณฑ์ ต้องชัดเจนว่าเป็นของคุณ เราจึงพยายามเน้นย้ำให้ช่างฝีมือและผู้ผลิตงานศิลปหัตถกรรมแต่ละคนสร้างเอกลักษณ์ของตัวเอง ไม่ใช่แค่ผลิตของตามแบบใคร เราหวังอย่างยิ่งว่า โครงการนี้จะเป็นเวทีที่ทำให้แบรนด์ไทยสามารถก้าวสู่ระดับโลกได้อย่างแท้จริงครับ”
ท้ายที่สุดแล้ว โครงการ SACIT Craft Collection 2025 ในมุมมองของผศ.ดร.อนุชา จึงไม่ได้เป็นเพียงเวทีจัดแสดงผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมที่จะผัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปปีละหน คือการวางรากฐานเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมคราฟต์ไทย ผ่านการให้ความสำคัญกับเรื่องเล่า เอกลักษณ์ และการพัฒนาศักยภาพของผู้ผลิตงานศิลปหัตถกรรมท้องถิ่น เพราะเมื่อผู้ผลิตไทยค้นพบเสน่ห์และแนวทางที่ชัดเจนของตัวเองแล้ว ก็จะสามารถเล่าเรื่องของตนได้อย่างมีพลัง นำไปสู่การสร้างแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์และเป็นที่จดจำในระดับสากลได้
มากไปกว่านั้น สิ่งเหล่านี้ก็จะสามารถนำไปสู่การสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับชุมชน ที่เชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจระดับประเทศอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น การสร้างโอกาสในพื้นที่ การส่งเสริมการอนุรักษ์องค์ความรู้ภูมิปัญญา และการปลุกพลังให้กับเศรษฐกิจชุมชนทั่วทุกภูมิภาค
โครงการ SACIT Craft Collection 2025 จึงเป็นมากกว่าการคัดสรรงานฝีมือ แต่คือการวางรากฐานเพื่อให้งานศิลปหัตถกรรมไทยเติบโตได้อย่างมั่นคง ไปจนถึงเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยความคิดสร้างสรรค์และคุณค่าจากท้องถิ่นอย่างแท้จริง
- ผู้ที่สนใจ สามารถส่งใบสมัครได้ที่: https://forms.gle/E1rSAukoSnvwM1ze8
- ติดตามรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่