Hawaii Thai จากผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์หวายสู่ผู้พัฒนาเส้นหวายสังเคราะห์เจ้าแรก
ฮาวายไทย ธุรกิจที่เริ่มต้นจากร้านเฟอร์นิเจอร์หวายเล็ก ๆ ให้ทหารอเมริกันในไทยสู่ผู้ส่งออกและผู้พัฒนาเส้นหวายสังเคราะห์ ด้วยนโยบายบริหารจากรุ่นก่อตั้งส่งถึงรุ่นต่อยอดในปัจจุบัน

กำลังจะเข้าสู่ปีที่ 70 ในปีหน้าแล้ว สำหรับ ฮาวายไทย (Hawaii Thai) บริษัทผู้ผลิตและส่งออกเฟอร์นิเจอร์หวายสาน ที่มีจุดเริ่มต้นจากร้านเฟอร์นิเจอร์หวายเล็ก ๆ โดยคุณเจน วิภวพาณิชย์ เป็นผู้ก่อตั้งและพัฒนาไปสู่การเป็นผู้ส่งออกเฟอร์นิเจอร์หวายซึ่งเป็นงานคราฟต์ผลิตโดยฝีมือคนไทยรายแรกไปสู่ตลาดสหรัฐอเมริกา อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนวิกฤตยาก ๆ ให้กลายเป็นโอกาสสำคัญ จากช่วงเวลาที่ไทยยกเลิกสัมปทานป่ามาสร้างสรรค์วัสดุทดแทนหวายจนกลายเป็นเจ้าแรกอีกเช่นกันที่พัฒนา DURAWERA เส้นหวายสังเคราะห์เพื่อมาใช้ในงานเฟอร์นิเจอร์สานจนเป็นที่แพร่หลายมาถึงปัจจุบัน



ฮาวายไทย เริ่มจากทำเฟอร์นิเจอร์หวายขายให้ทหารอเมริกันในไทยยุคสงคราม
ฮาวายไทยเริ่มก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ.2498 โดยคุณเจน ภวพาณิชย์ เพื่อผลิตสินค้าขายให้กับทหารอเมริกันที่มาอาศัยอยู่ในไทยช่วงสงครามเวียดนาม จนเมื่อสงครามสิ้นสุดลงกลุ่มลูกค้าหลักเดินทางกลับประเทศไป คุณเจนจึงเกิดไอเดียการขยายธุรกิจไปสู่การส่งออก พร้อมกับสร้างโรงงานขึ้นมาที่นิคมอุตสาหกรรมบางชัน ย่านมีนบุรี เพื่อบุกเบิกการส่งเฟอร์นิเจอร์หวายฝีมือคนไทยไปสหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าแรก เมื่อได้การตอบรับที่ดีจึงย้ายโรงงานไปอยู่ที่อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อมุ่งมั่นในการผลิตเฟอร์นิเจอร์หวายส่งออกตามนโยบายของรัฐบาลในช่วงนั้น รวมถึงสร้างการเติบโตให้กับตลาดแรงงานชุมชนท้องถิ่นไปด้วย

จนกระทั่งเข้าสู่ปีพ.ศ.2532 รัฐบาลประกาศยกเลิกสัมปทานป่าไม้ทั่วประเทศ ส่งผลกระทบต่อวัตถุดิบหลักซึ่งเป็นหวายที่ได้จากเถาวัลย์ในป่า จึงผลักดันให้มีการค้นหาวัสดุทดแทนที่ทนทานกว่าแต่มีลักษณะเหมือนหวายจริง นั่นคือจุดเปลี่ยนสำคัญทำให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมวัสดุ DURAWERA เส้นใยสังเคราะห์ (Synthetic Fiber) ที่ทนต่อรังสียูวีและความร้อนได้ถึง 50 องศาเซลเซียส ทนต่อการสึกกร่อน สีไม่ซีดจาง และดูแลรักษาง่าย ผ่านการทดสอบจากห้องปฏิบัติการระดับโลก จนได้รับการยอมรับและนำไปจัดแสดงในศูนย์รวมวัสดุออกแบบระดับโลกอย่าง Material ConneXion และปัจจุบัน ฮาวายไทยกำลังเข้าสู่ช่วงต่อระหว่างทายาทรุ่น 2 ไปสู่ทายาทรุ่นที่ 3 โดยหันมาผลิตเฟอร์นิเจอร์สานขายในประเทศมากขึ้น และร่วมมือกับดีไซเนอร์ไทยสร้างคอลเลคชันใหม่ ๆ เพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ผู้ใช้งานที่หลากหลายและทันสมัยในทุกช่วงเวลา

จุดมุ่งหมายที่มากกว่าทำธุรกิจ
ความตั้งใจสำคัญที่คนรุ่นแรกส่งต่อมาสู่รุ่นลูกในเจนที่ 2 และยังคงต่อเนื่องมาถึงรุ่นหลานซึ่งเป็นเจนที่ 3 คือการส่งเสริมและสืบต่อฝีมืองานสานหรือภูมิปัญญาในงานคราฟต์ของไทย เพื่อให้ทั้งคนไทยและต่างชาติได้มีโอกาสสัมผัสกับคุณภาพของงานแฮนด์เมดไทย แม้จะเปลี่ยนวัสดุไปจากอดีต แต่ทักษะและความชำนาญในงานสานจะยังคงเป็นเอกลักษณ์ที่สร้างชื่อเสียงให้คนมาเลือกซื้อสินค้าของไทย พร้อม ๆ ไปกับการได้สร้างอาชีพเสริมรายได้ให้คนต่างจังหวัดได้มีงานทำในท้องถิ่นบ้านเกิดควบคู่ไปกับการทำเกษตรโดยไม่ต้องเข้ามาหางานทำแต่ในเมืองหลวง


จุดเปลี่ยนที่ทำให้เกิดการก้าวข้ามหรือการพัฒนา
กว่าจะนำพาธุรกิจให้ผ่านมาเกินครึ่งศตวรรษได้ถึงยุคปัจจุบัน ฮาวายไทยก็ต้องพบกับวิกฤตหรือเหตุการณ์ยาก ๆ อยู่หลายครั้งไม่ว่าจะเป็นวิกฤตจากสงครามอ่าวเปอร์เซียที่ทำให้การส่งออกต้องหยุดชะงัก การขาดแคลนแรงงาน การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ยากที่สุดก็คือการยกเลิกสัมปทานป่าทั่วประเทศที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้ขาดวัตถุดิบในการผลิตสินค้า ด้วยความไม่ย่อท้อของคุณเจนผู้นำทางธุรกิจรุ่นแรก จึงสามารถพัฒนาเส้นหวายสังเคราะห์ DURAWERA ขึ้นมาทดแทนสำเร็จ แต่ก็ยังต้องหาวัสดุโครงสร้างใหม่ เรียนรู้วิธีการสานจากวัสดุใหม่ที่มีผิวสัมผัสลื่นกว่าหวายจริง และการเปลี่ยนกลุ่มตลาดลูกค้าใหม่ทั้งหมด ทำให้ฐานลูกค้าเดิมหายไปถึง 70% แทบจะเหมือนการนับหนึ่งเพื่อเริ่มต้นธุรกิจกับวัสดุใหม่โดยยึดหัวใจหลักคืองานสานด้วยทักษะฝีมือประณีตซึ่งพัฒนาจากภูมิปัญญาไทย

คุณเพชร วิภวพาณิชย์ Marketing Manager
คุณธนาคม วิภวพาณิชย์ Business Development Manager
คุณอลิสา วิภวพาณิชย์ Managing Director
คุณหฤษฏี ลีละยุวพันธ์ Designer Consultant
คุณพชร วิภวพาณิชย์ Operation Manager
บทเรียนข้อสำคัญที่อยากบอกรุ่นต่อไป
“การทำธุรกิจจะหยุดอยู่นิ่งกับที่ไม่ได้ หยุดแปลว่าถอยหลัง เพราะคนอื่นก็ทำได้เหมือนกัน เราต้องพัฒนาตลอด ต้องมองไปข้างหน้า อย่างตลาดเฟอร์นิเจอร์ก็เหมือนแฟชั่นที่เกิดเทรนด์จากต่างประเทศล่วงหน้าก่อน 2 ปี เราก็ต้องศึกษาและนำมาพัฒนาทั้งในเรื่องของดีไซน์ วัสดุ และนวัตกรรม อย่างเช่นการหาวัสดุใหม่ ๆ มาผสมผสาน ไม้บ้าง เชือกบ้าง และเพิ่มฟังก์ชันใช้งานที่หลากหลายขึ้น
สิ่งสำคัญอีกอย่างที่คุณพ่อ (คุณเจน) สอนเรามาตลอดคือการทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ ทั้งองค์กร พนักงาน และลูกค้า สินค้าที่เราทำไม่ใช่แค่เฟอร์นิเจอร์แต่เรามีเรื่องคุณภาพที่ใส่ใจในทุกขั้นตอนรวมไปถึงการดูแลลูกค้าประกอบอยู่ด้วย นี่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่คุณพ่ออยากให้รุ่นต่อไปรักษาไว้”


รุ่นลูกหลานที่ต่อยอดมองธุรกิจอย่างไร
“เราโตมากับการที่เห็นคุณพ่อคุณแม่ทำงาน มีโรงงานเป็นที่วิ่งเล่น และบางทีก็ไปเล่นกับพี่คนที่ทำงานสาน เวลาไปเที่ยวตามโรงแรมก็จะเห็นภาพประจำคือภาพที่คุณพ่อจะเดินไปจับไปลูบเฟอร์นิเจอร์หวายแต่ละตัว เหมือนเขาสำรวจและศึกษาจากสิ่งรอบตัวตลอด เราก็ได้ซึมซับทุกอย่างมา ทุกวันนี้เวลาไปไหนก็ทำแบบเดียวกับพ่อเลย เหมือนมันอยู่ในสายเลือด”

“เราได้เห็นงานสานและงานออกแบบมาตั้งแต่เล็ก เลยคุ้นชินกับสิ่งนี้มาตลอดและน่าจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ไปเรียนด้านออกแบบและส่วนหนึ่งก็เปิดบริษัทออกแบบของตัวเอง อีกส่วนก็ทำธุรกิจกับครอบครัว”
“ก่อนจะมาทำธุรกิจให้ครอบครัว เราทุกคนก็ได้แยกย้ายไปลองหาประสบการณ์การทำงานที่อื่นก่อน แต่สุดท้าย DNA ในสายเลือดก็จะนำพาเรากลับมาทำธุรกิจของครอบครัว เพราะทุกคนรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของที่อยากจะพัฒนาธุรกิจให้ดีขึ้นในทุกช่องทางที่ทำได้ สิ่งที่ดีคือเรามีพี่น้องที่มีความชอบความสนใจต่างกันมาช่วยเติมเต็ม โดยใช้ความรู้และประสบการณ์ที่แยกย้ายไปสะสมมาช่วยกัน ทั้งเรื่องดีไซน์ การตลาด เซอร์วิส ประกอบกับสิ่งที่คนรุ่นพ่อแม่เราทำให้เห็นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องการบริหารดูแลพนักงาน ความละเอียดในการทำงาน และมุมมองในการพัฒนาธุรกิจต่อไป”


การปรับเปลี่ยนและต่อยอด
“เราอยากจะพัฒนาแบรนด์ให้อยู่ในจุดที่แข็งแรงขึ้นอีก สิ่งที่จะโฟกัสในช่วงนี้คือการกลับมาดูแลตลาดในประเทศให้มากขึ้น เพื่อให้ฮาวายไทยคงความเป็นเบอร์หนึ่งสำหรับเฟอร์นิเจอร์สาน และต่อยอดด้วยการเพิ่มดีไซน์ใหม่จากวัสดุใหม่และสร้างฟังก์ชันใหม่ ๆ เพราะวัสดุที่เรามีสามารถนำไปต่อยอดและสร้างสรรค์ได้อีกมากมายตามความต้องการของลูกค้า เช่นที่เรานำวัสดุสานมาออกแบบให้เป็นแผ่นพื้นและผนังสำหรับงานตกแต่ง เชื่อว่าดีไซน์เหล่านี้จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้กับสถาปนิก อินทีเรียร์ ได้นำไปใช้ด้วยเช่นกัน เหมือนกับที่เราได้เห็นการนำวัสดุเส้นหวายสังเคราะห์ของเราไปสานแบบเส้นด้ายเพื่อตกแต่งโครงสร้างของตัวอาคารใหม่ ๆ ก็เป็นการต่อยอดที่น่าประทับใจ”



คำแนะนำสำหรับคนรุ่นปัจจุบันที่มีกิจการครอบครัวให้สืบต่อ
“เพราะธุรกิจกงสีหรือธุรกิจครอบครัวเริ่มด้วยคนในครอบครัวมาช่วยกันทำ รวมไปถึงพนักงานที่เข้ามาก็ถือเป็นครอบครัวใหญ่ ที่ผูกพันกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน ถ้าบริหารทุกคนแบบคนในครอบครัว เวลาทำอะไรก็จะมีความยืดหยุ่นปรับไปตามสถานการณ์ สิ่งสำคัญคือการทุ่มเทใจให้กับทุกคนและสิ่งที่เราจะได้กลับมาก็คือใจ อีกทั้งการส่งต่อประสบการณ์และความรู้จากรุ่นสู่รุ่น เป็นเหมือน shortcut ที่จะช่วยให้รุ่นใหม่ทำอะไรได้เร็วขึ้น ไม่ต้องมาเรียนรู้กับความผิดพลาดที่รุ่นก่อนเจอมาแล้ว เพื่อประหยัดเวลาลองผิดลองถูกและพัฒนาให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้”
เมื่อความรู้ของคนรุ่นเก่าส่งต่อถึงคนรุ่นลูกและรุ่นหลาน แนวทางการบริหารแบบผสมผสานจึงเกิดขึ้นผ่านมุมมองของทายาทรุ่นใหม่ ๆ
“ต้องยอมรับว่าธุรกิจที่ไม่เปลี่ยนเลยจะไปต่อไม่ได้ ซึ่งข้อดีคือเรามีความรู้เรามี Know-how ที่สร้างจากคนรุ่นก่อนแล้วจะช่วยให้พัฒนาต่อยอดได้เร็วกว่า แต่ต้องรู้จักนำมาผสมผสานและสร้างความแตกต่างใหม่ ๆ ต้องเรียนรู้ที่จะสร้างสมดุลระหว่างคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ เรียนรู้จากรุ่นพ่อรุ่นแม่ที่ปฏิบัติกับพนักงานแบบครอบครัว และก็ต้องเรียนรู้จะที่บริหารคนรุ่นใหม่ ๆ ที่มีความคิดแตกต่าง ทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ต้องใช้ข้อดีของกันและกันมาผสมผสาน ทั้งการส่งต่อทักษะฝีมือระหว่างคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่ รวมถึงพัฒนาไปสู่การตลาดรูปแบบใหม่ให้เข้ากับยุคสังคมโซเชียล เพื่อนำพาธุรกิจให้ไปต่อด้วยกันได้อย่างเฮลท์ตี้”


เรื่อง : ภัทรสิริ โชติพงศ์สันติ์
ภาพ : อนุพงษ์ ฉายสุขเกษม
33 ถนนเพชรพระราม เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ
โทรศัพท์ 0-2376-0100-3, 08-5485-9780