เคล็ดลับการดูแลบ้านไม่ให้เกิดปัญหาจากความชื้น
บ้านที่มีความชื้นอยู่ในระดับที่พอดี จะทำให้มีสภาพอากาศที่ปลอดโปร่งตามไปด้วย แต่บางครั้งสภาพอากาศ และปัจจัยอื่น ๆ ก็อาจทำให้บ้านมีความชื้นมากเป็นพิเศษ และสิ่งที่ตามมาไม่ใช่แค่ทำให้ไม่สบายตัวอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของกลิ่นอับ แบคทีเรีย รวมทั้งวัตถุดิบบางประเภท ไปจนถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก็อาจได้รับผลกระทบเหมือนกัน ความชื้นในบ้าน จึงเป็นอีกเรื่องที่ต้องคอยดูแลและใส่ใจ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องอื่น ๆ ตามมานั่นเอง
1 . ใส่ใจเรื่องการระบายอากาศในห้องต่างๆ

ลองสังเกตห้องต่าง ๆ ภายในบ้าน ว่ามีการระบายอากาศได้ดีหรือไม่ เพราะวิธีนี้เป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกบ้านควรใส่ใจและขาดไม่ได้เลย ซึ่งการระบายอากาศในบ้านนั้น ทำได้ง่าย ๆ ตั้งแต่การเปิดประตูหน้าต่าง ให้ลมพัดเข้ามาไล่กลิ่นอับ และความชื้น รวมถึงไม่ควรตั้งเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ ๆ มาปิดหน้าต่าง และขวางทางลม แต่ถ้าหากเป็นห้องที่ไม่ไมีหน้าต่างหรือเป็นมุมอับของบ้าน ก็ต้องหาตัวช่วยอย่างการนำพัดลมมาช่วยเปิดไล่อากาศ หรืออาจติดตั้งพัดลมระบายอากาศแบบถาวร สำหรับห้องที่มีความอับชื้นมากเป็นพิเศษอย่างห้องน้ำ และห้องครัว
2 . การจัดวางต้นไม้ในบ้าน

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสีเขียว ๆ ของต้นไม้ภายในบ้านที่เรานำมาปลูกตกแต่งนั้นเพิ่มความสดชื่น และช่วยให้สบายตามากขึ้นแค่ไหน แต่ก็อย่าลืมว่า ต้นไม้เหล่านี้มีการคายน้ำออกมา ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ ความชื้นในบ้าน เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นแล้ว การจะนำต้นไม้มาตกแต่ง ก็ควรจัดไว้ในบริเวณที่เหมาะสม โดยต้องเป็นพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก อย่างเช่นพื้นที่ใกล้ ๆ หน้าต่างหรือประตูทางเข้าบ้าน ก็ช่วยลดความชื้นได้
3 . เปิดรับแสงแดด

พอกลับถึงบ้านเข้าห้องก็เปิดแอร์ล้มตัวลงนอน เช้ามาก็ต้องรีบออกจากบ้าน จึงไม่แปลกเลย ที่ห้องบางห้องอาจไม่เคยได้มีการเปิดหน้าต่าง หรือผ้าม่านให้แสงแดดได้ลอดผ่านเข้ามาในห้อง โดยเฉพาะห้องนอน หรือห้องที่ไม่ค่อยมีคนอยู่ ถ้าเป็นแบบนี้ คงต้องหาเวลาในวันหยุดหรือช่วงสั้น ๆ ในตอนเช้าคอยหมั่นเปิดหน้าต่าง หรือผ้าม่านให้ห้องได้รับแสงแดด เพราะความร้อนอ่อน ๆ จากธรรมชาตินี้จะช่วยลดความชื้นที่สะสมอยู่ แถมยังช่วยฆ่าเชื้อโรค และแบคทีเรียได้อีกด้วย
4 . เลือกใช้สีทาบ้านที่ป้องกันความชื้น

การเลือกใช้สีทาผนังบ้าน แบบที่มีคุณสมบัติป้องกันความชื้นนั้น เป็นอีกวิธีที่ช่วยลดปัญหาเชื้อราได้ เพราะคงไม่มีใครอยากเสียเวลา มานั่งขัดทำความสะอาดคราบราบนผนังแน่นอน ยิ่งถ้าหากเจอความชื้นมาก ๆ และเผลอปล่อยทิ้งไว้ มารู้ตัวอีกที ก็อาจถึงขั้นเจอคราบเชื้อราฝังแน่น จนยากที่จะทำความสะอาด และเพิ่มขั้นตอนการทาสีใหม่ ให้ยากกว่าเดิม แต่ถ้าหากไม่มั่นใจว่า ควรใช้สีตัวไหนก็อาจลองปรึกษา กับผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมก่อนได้
5 . ใช้เครื่องดูดความชื้น

ถ้าอยากลดความชื้น ก็หาเครื่องดูดความชื้นมาใช้ซะเลย โดยเจ้าเครื่องดูดความชื้นนี้ ก็มีให้เลือกใช้หลากไซส์หลายดีไซน์ มีตั้งแต่ขนาดพกพา ดูน่ารักที่สามารถวางบนโต๊ะทำงาน หรือใส่ในลิ้นชักได้ ไปจนถึงเครื่องใหญ่ ที่ดูคล้ายตู้ขนาดย่อม เหมาะกับการใช้ในอาคาร หรือห้องขนาดใหญ่ โดยถ้าเลือกให้เหมาะสม ก็จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานอย่างเต็มที่ ความชื้นในห้องก็ถูกปรับให้อยู่ในระดับที่พอดี ช่วยลดกลิ่นอับ และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ไปในตัวอีกต่างหาก
6 . วัสดุดูดความชื้นจากวัตถุดิบในบ้าน

ถ้าหากมุมไหนของบ้านที่มีความอับชื้นมากเป็นพิเศษ อย่างบริเวณอ่างล้างจาน มุมตู้เก็บของหรือในห้องน้ำ คุณแม่บ้านสามารถหยิบวัตถุดิบที่มีอยู่ในครัว มาช่วยได้ โดยสามารถใช้พวกถ่านไม้ เกลือหรือข้าวสารมาใส่ในถุงผ้า ไม่ก็ภาชนะที่ระบายอากาศได้ อย่างขวดโหลเจารู หรือกล่องตะแกรงพร้อมฝาปิด จากนั้นนำไปวางไว้ตามจุดต่าง ๆ ในบ้านที่อยากลดความชื้น โดยธรรมชาติของวัตถุดิบเหล่านี้ จะช่วยดูดซับความชื้นรอบ ๆ ได้
7 . ไม่ละเลยเรื่องเล็กน้อยในบ้าน

การดูแลบ้านตามจุดเล็ก ๆ ที่หลายคนอาจเห็นว่าไม่ค่อยสำคัญ แต่พอรวมกัน ก็ทำให้บ้านห่างไกลจากความชื้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจเช็คจุดต่าง ๆ ที่อาจมีปัญหา อย่างเช่นการแตกร้าวบริเวณผนัง การรั่วซึมของท่อน้ำ ถ้าหากพบปัญหาตามมุมเหล่านี้ ก็ควรรีบแก้ไขตั้งแต่เริ่มเจอ ไม่ปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ จนเป็นปัญหาใหญ่ขึ้น นอกจากนี้การนำขยะไปทิ้งตามเวลาที่พอดี โดยไม่ต้องรอให้เต็มถัง หรือการทำให้มุมต่าง ๆ แห้งสนิททุกครั้ง หลังทำความสะอาดก็มีส่วนเหมือนกัน
รวมวิธีการกำจัดกลิ่นเหม็นในห้องครัว ให้ทุกมุมหอมสดชื่น
7 วิธีแก้ไขปัญหาเสื้อเหม็นอับ ให้กลับมาหอมสดชื่นอีกครั้ง
สัญลักษณ์บนเสื้อผ้า บอกอะไรเราบ้าง ?
ติดตามดูข้อมูลดีๆเพิ่มเติมได้ที่ บ้านและสวน