ดอกไม้ประจำจังหวัด ภาคอีสาน
ดอกไม้ประจำจังหวัด ภาคอีสาน ที่มีความโดดเด่นสวยงามตามแต่ละจังหวัด บางชนิดมีกลิ่นหอมอีกด้วย บางชนิดเป็น ไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ
ไปทำความรู้จักกับ ดอกไม้ประจำจังหวัด ประจำภาคอีสาน ทั้ง 19 จังหวัดของไทย บางชนิดเป็นไม้ยืนต้น บางชนิดเป็นไม้พุ่ม หรือบางชนิดเป็นไม้ดอกที่มีกลิ่นหอมอีกด้วย

จังหวัดหนองคาย
ดอกชิงชัน ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Dalbergia oliveri Gamble ex Prain พบการกระจายพันธุ์ได้ทั่วไปในป่าเบญจพรรณ และป่าดิบแล้ง ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 100-700 เมตร สถานภาพเป็นไม้หวงห้ามธรรมดาประเภท ก. ดอกออกตามปลายกิ่ง ดอกสีขาวอมม่วง ไม้ชิงชันแม้ว่าจะสามารถทนต่อไฟป่าที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีได้ แต่ถ้าเป็นไฟป่าชนิดไฟเรือนยอดแล้วมักจะตาย ดังนั้นการทำแนวกันไฟก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับไม้ชนิดนี้ และในระยะแรกของการปลูก ชิงชันต้องการการดูแลมากพอสมควร ปัญหาเรื่องโรคและแมลงที่อาจเกิดขึ้นได้คือ โรคเน่าคอดิน ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้โดยการควบคุมการให้น้ำไม่ให้แฉะเกินไป

จังหวัดเลย
ดอกกล้วยไม้รองเท้านารีเหลืองเลย ชื่อวิทยาศาสตร์ : Paphiopedilum hirsutissimum (Lindl. Ex Hook.) Stein เป็นกล้วยไม้เจริญบนหิน หรือกล้วยไม้ดิน กลีบเลี้ยงและกลีบดอกสีน้ำตาลอมเหลือง ปลายกลีบสีม่วงแดง กลีบปากเป็นถุงลึก สีเหลืองอมเขียว มีจุดสีน้ำตาลหนาแน่น ขอบกลีบไม่ม้วนเข้า ออกดอกช่วง ธันวามคม-เมษายน พบตามซอกหินหรือพื้นป่าตามป่าดิบทางภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
อ้างอิงข้อมูล : เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าผาผึ้ง จังหวัดชัยภูมิ

จังหวัดหนองบัวลำภู
ดอกบัวหลวง ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Nelumbo nucifera Gaertn. เป็นไม้อยู่เหนือน้ำ และลำต้นเป็นเหง้าอยู่ใต้ดิน มีหลายพันธุ์ ทั้งดอกชั้นเดียวและดอกซ้อน สีขาวหรือสีชมพู กลีบดอกใหญ่ กลางดอกมีฐานรังไข่และเกสรจำนวนมากและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ตอนเช้าหรือกลางคืน ก้านดอกยาวชูขึ้นเหนือน้ำและมีหนามเล็กๆ ออกดอกตลอดปี แต่ดกในฤดูร้อนและฤดูฝน

จังหวัดอุดรธานี
ดอกทองกวาว ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Butea monosperma (Lam.) Kuntze ไม้ต้นขนาดกลาง ดอกสีแสดแดงหรือสีเหลืองอร่าม ต้นไม้มงคล ที่คนไทยโบราณเชื่อว่า หากปลูกไว้ประจำบ้านจะทำให้บ้านนั้นมีเงินมีทองมาก เนื่องจากทรงพุ่มค่อนข้างใหญ่ เมื่อปลูกประดับบริเวณบ้านหรืออาคาร ควรเว้นให้มีระยะห่างเหมาะสม ดอกออกเป็นช่อแน่นที่ปลายกิ่งและกิ่งข้าง ดอกรูปดอกถั่ว สีแสดแดงหรือสีเหลือง กลีบเลี้ยงสีเขียวเข้ม มีขนนุ่ม

จังหวัดสกลนคร
ดอกอินทนิล ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lagerstroemia speciosa (L.) Pers. มีถิ่นกำเนิดในแถบประเทศอินเดีย จีนตอนใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในธรรมชาติพบตามป่าเบญจพรรณ ป่าดิบชื้นที่ชุ่มชื้น ใกล้น้ำ ชื่อระบุชนิดมาจากภาษาละติน แปลว่า เท่ ภูมิฐาน สื่อถึงลักษณะทรงต้นของพืชชนิดนี้ เหมาะปลูกในพื้นที่กว้าง ให้ร่มเงาได้ดี โดยเฉพาะพื้นที่ชุ่มชื้น ด้านสมุนไพร ใบชงน้ำดื่มแก้เบาหวาน ช่วยขับปัสสาวะ เปลื้อกแก้ไข้ แก้ท้องเสีย รากใช้รักษาแผลในปาก เนื้อไม้ใช้ทำเสา และด้ามอุปกรณ์การเกษตร มีอีกชนิดหนึ่งชื่ออินทนิลบก ลักษณะคล้ายกันแต่ทรงต้น ใบและดอกมีขนาดใหญ่มาก และพบมากทางภาคเหนือ

จังหวัดนครพนม
ดอกกันเกรา วิทยาศาสตร์ว่า Fagraea fragrans Roxb. เหมาะปลูกในสวนสาธารณะหรือบริเวณบ้านที่มีพื้นที่กว้าง เป็นไม้มงคลหนึ่งในเก้าชนิดที่ใช้รองก้นหลุมก่อนลงเสาเอกของบ้าน นิยมปลูกทางทิศตะวันออก เชื่อว่าช่วยปกป้องคุ้มภัย ออกเป็นช่อกระจุกที่ปลายยอด เมื่อเริ่มบานดอกสีขาว จากนั้นเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ดอกรูปแตร ออกดอกเดือนเมษายน – มิถุนายน ส่งกลิ่นหอมตลอดวัน

จังหวัดมุกดาหาร
ดอกช้างน้าว เป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลแก่จังหวัดมุกดาหาร ชื่อวิทยาศาตร์คือ Ochna integerrima (Lour.) Merr. เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก พบได้ตามป่าเต็งรัง หรือป่าเบญจพรรณ ขึ้นได้ดีในที่แห้งแล้งหรือบนภูเขาที่เป็นหิน เป็นไม้ผลัดใบ เมื่อยามจะออกดอกจะทิ้งใบหมดทั้งต้นไปสักระยะหนึ่งจึงออกดอกสีเหลืองสด ดอกจะออกบานเต็มต้น สวยงามมาก

จังหวัดกาฬสินธุ์
ดอกพะยอม มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Shorea roxburghii G.Don พบได้ในกัมพูชา, อินเดีย, ลาว, มาเลเซีย, พม่า, ไทย และเวียดนาม มีลักษณะใบที่เรียงสลับกัน ดอกมีสีขาว กลิ่นหอม นิยมนำเนื้อไม้ไปใช้ในการก่อสร้าง ลักษณะคล้ายกับต้นตะเคียน ดอกมีสีขาว และ ดอกสีเหลืองอ่อน บานพร้อมกันหรือทยอยบานทั้งช่อ ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ช่วงเย็น ออกดอกเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์ นอกจากนี้ยังใช้เวลาหลายปีกว่าจะออกดอก พันธุ์ไม้ที่ออกดอกจากยอดอ่อนที่แตกใหม่ การทำให้แตกใบใหม่จะทำให้ออกดอกได้

จังหวัดขอนแก่น
ดอกราชพฤกษ์ ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Cassia fistula เป็นไม้ต้นขนาดกลาง ผลัดใบ นอกจากจะเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดขอนแก่นแล้ว ยังเป็นไม้ประจำชาติไทย และดอกไม้ประจำเทศกาลสงกรานต์ ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา ไม้มงคล ตกแต่งริมถนนและในสวน ปลูกริมทะเล เมื่อล้อมมา ต้องพักฟื้นจนแตกใบใหม่ และรอใบใหม่แก่แล้วจึงใช้งานได้ดี ไม่ควรปลูกเป็นจำนวนมากในที่เดียว

จังหวัดมหาสารคาม
ดอกลั่นทมขาว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Plumeria obtusa L. เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก ผลัดใบ ออกเป็นช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง ช่อละ 8 – 16 ดอก โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ภายในมีขน ปลายแยกเป็น 5 กลีบซ้อนเหลื่อมกัน สีขาว กลางดอกสีเหลือง มีกลิ่นหอม ออกดอกตลอดปี ระยะปลูกที่เหมาะสม 2 – 6 เมตร ควรปลูกในพื้นที่กว้างให้ได้รับแสงเต็มที่ ทนแล้ง แต่ไม่ทนน้ำท่วม สมัยโบราณไม่นิยมปลูกในบ้านเพราะชื่อไม่เป็นมงคล นิยมปลูกในสวนสไตล์เมืองร้อน

จังหวัดร้อยเอ็ด
ดอกอินทนิล ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lagerstroemia speciose (L.) Pers. เป็นไม้ต้นผลัดใบ สูง 10 – 25 เมตร เปลือกลำต้นสีเทาหรือสีน้ำตาลอ่อน ผิวค่อนข้างเรียบ อาจตกสะเก็ดเป็นแผ่นบาง ๆ บ้างเล็กน้อย ดอกออกเป็นช่อตั้งที่ปลายกิ่ง ดอกสีม่วงสด ม่วงอมชมพูหรือชมพู และสีจะซีดจางลง เมื่อดอกโรย ออกดอกเดือนมีนาคม-มิถุนายน ชอบแดดเต็มวัน ทนแล้ง นิยมปลูกริมถนนทางเดินและริมบ่อน้ำ

จังหวัดยโสธร
ดอกบัวแดง ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Nymphaea lotus L. and hybrid เป็นประเภทไม้อยู่เหนือน้ำ มีหัวหรือเหง้าอยู่ใต้ดิน ดอกชูขึ้นพ้นน้ำ สีขาว ขนาดใหญ่ ไม่มีกลิ่นหอม บานใกล้เช้าถึงสายของวันรุ่งขึ้น ก้านดอกนำมาประกอบอาหารคาวหรือทำขนมหวานอย่างขนมสายบัวได้ ใบรูปรีถึงรูปไข่ ขนาดใหญ่ สีเขียว ขอบใบหยักคล้ายฟันเลื่อย ใต้ใบมีขนนุ่มปกคลุม

จังหวัดอำนาจเจริญ
ดอกจานเหลือง หรือทองกวาวดอกเหลือง ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Butea monosperma (Lam.) Taub. เป็นไม้ยืนต้น ออกดอกช่วงฤดูหนาว ดอกออกเป็นช่อ สีเหลืองสด หลายคนคุ้นเคยกับทองกวาวที่มีดอกสีส้ม ซึ่งดอกสีเหลืองมักพบไม่บ่อยนักทองกวาวเหลือง มีถิ่นกำเนิดในประเทศอินเดีย พม่า และภูมิภาคอินโดจีน ในประเทศไทย พบทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามป่าผลัดใบและป่าเบญจพรรณ ออกดอกช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม

จังหวัดชัยภูมิ
ดอกกระเจียว พืชล้มลุกประเภทหัว อย่าง ดอกกระเจียว ปัจจุบันกลายเป็นพืชที่สร้างรายได้ให้เมืองไทยโดยการเป็นพืชส่งออกอันดับต้นๆของไทย และนอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของเมืองไทย คือ ทุ่งดอกกระเจียว-อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม จ.ชัยภูมิ ซึ่งลักษณะทั่วไปของพืชกลุ่มนี้ คือ เป็นไม้ล้มลุกที่มีอายุหลายปี ต้นแตกกอ มีเหง้าทอดเลื้อยใต้ดินเห็นข้อปล้องชัดเจน เนื้อในเหง้ามีทั้งสีขาว ขาวอมม่วง สีเหลือง เหลืองอมส้ม และส่วนใหญ่มักจะมีกลิ่นหอม ออกดอกในช่วงปลายฤดูร้อน เข้าสู่ฤดูฝน ดอกมีหลากหลายสี เช่น สีขาว สีแดง สีชมพู สีม่วงแดง และสีน้ำตาล

จังหวัดนครราชสีมา
ดอกสาธร ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Millettia leucantha Kurz. ไม้ยืนต้นกึ่งผลัดใบขนาดกลาง สูง 10-20 ม. เรือนยอดเป็นพุ่มกลมแผ่กว้าง เปลือกนอกมีสีเทาอ่อนหรือสีเทา ค่อนข้างเรียบหรือแตกเป็นเกล็ดเล็ก เปลือกในสีเหลืองอ่อน ช่อแยกแขนง มีลักษณะเป็นรูปดอกถั่ว สีขาวหรือเหลืองอ่อน พบในป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณ ในภาคกลาง เหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ

จังหวัดบุรีรัมย์
ดอกสุพรรณิการ์ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cochlospermum regium (Schrank) Pilg. ดอกจะบานในประมาณช่วงเดือน มกราคม-กุมภาพันธ์ ของทุกปี ออกดอกพร้อมกันเกือบทั้งต้น เมื่อใกล้ออกดอก ใบส่วนใหญ่จะร่วงเกือบทั้งหมด ไม้ประดับยืนต้นขนาดกลาง สูงได้ถึง 10 – 15 ม. ทรงพุ่มไม่แน่นอน

จังหวัดสุรินทร์
ดอกกันเกรา ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Fagraea fragrans Roxb. ไม้ต้นชนิดนี้มีความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 8 – 25 เมตร และมีทรงพุ่มเรือนยอดรูปไข่ ทรงพุ่มแน่นทึบ ลำต้นเปลือกต้นสีน้ำตาลเข้ม แตกเป็นร่องลึก เปลือกมีสีน้ำตาล เมื่อต้นแก่จะแตกเป็นร่องลึกตามยาว ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ดและการปักชำ มีถิ่นกำเนิดตามป่าเบญจพรรณและตามที่ใกล้กับแหล่งน้ำ ในประเทศไทย พม่า มาเลเซีย เวียดนาม และอินเดีย สำหรับในบ้านเราต้นกันเกราขึ้นได้ทั่วไปในทุกภาคของประเทศไทย แต่จะพบได้มากทางภาคใต้

จังหวัดศรีสะเกษ
ดอกลำดวน ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Melodorum fruticosum Lour. ดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อกระจุกออกตามซอกใบหรือปลายกิ่ง กลีบเลี้ยงขนาดเล็ก กลีบดอกหนาแข็ง มี 6 กลีบ กลีบชั้นนอกแผ่กาง แต่กลีบชั้นในงุ้มเข้าหากันหมดสีเหลือง บานวันเดียวแล้วโรยในวันรุ่งขึ้นส่งกลิ่นหอมแรงตั้งแต่ช่วงเย็นจนถึงเช้า และหอมอ่อนๆ ในช่วงกลางวัน ออกดอกเดือนมกราคม –มีนาคม ควรปลูกให้ห่างจากต้นไม้อื่นอย่างน้อย 5 เมตร ถ้าต้องการปลูกให้ออกดอกในกระถางควรปลูกจากกิ่งตอน ผลมีรสหวานรับประทานได้ ดอกมีสรรพคุณแก้ไข้ บำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต

จังหวัดอุบลราชธานี
ดอกบัวหลวง เป็นดอกไม้ประจำจังหวัด หนองบัวลำภู เช่นเดียวกัน ชื่อวิทยาศาสตร์คือ Nelumbo nucifera Gaertn. กลีบดอกทั้งขาวและชมพูชุบแป้งทอดจิ้มซอสพริก กลีบดอกเป็นยาฝาดสมาน เกสรดอกเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของเกสรทั้งห้า ที่มีสรรพคุณบำรุงหัวใจ ชาวมาเลเซียใช้กลีบดอกชั้นในตำพอกแก้โรคซิฟิลิส ชาวชวาใช้แก้ท้องร่วง ออกดอกตลอดปี แต่ดกในฤดูร้อนและฤดูฝน
อ้างอิงข้อมูล : กรมป่าไม้, อุทยานธรรมชาติวิทยาสิรีรุกขชาติ
บทความที่เกี่ยวข้อง