สวนป่าแบบโปร่ง ขนาด 300 ตารางเมตร พร้อมเรือนกระจกเลี้ยงแคคตัส

ภาพคุ้นตาของ “สวนป่า“ ส่วนใหญ่ที่เห็น คือ สวนที่มีน้ำตก ลำธาร รายล้อมด้วยพรรณไม้มากมาย แต่สวนป่าที่จะพาคุณผู้อ่านไปชมในครั้งนี้กลับต่างออกไป ด้วยแนวคิดที่ว่า “สวนป่าแบบโปร่ง”

สวนป่าแบบโปร่ง
พื้นที่เดิมอีกด้านของบ้านมีบ่อบัวขนาดใหญ่ และมีสนามหญ้ากว้าง

“ได้รับการติดต่อจาก คุณคมสัน อากาศวิภาต ผ่านทางเพจของ Ayothaya Landscape ตั้งแต่ปีที่แล้วครับ เขาได้เห็นผลงานผมจากสวนคาเฟ่ ก้านทอง ติ่มซำ (นิตยสารบ้านและสวน ฉบับกุมภาพันธ์ 2565) บอกมาว่าอยากปรับปรุงสวนเพิ่มเติม อยากได้น้ำตกเล็ก ๆ ” คุณต้อง – ทิวา อ่อนสุวรรณ นักจัดสวน เล่าถึงที่มาของ สวนป่าแบบโปร่ง แห่งนี้ให้ฟัง

“โจทย์ที่ได้รับมามีแค่อยากได้ต้นไม้ที่ไม่ต้องดูแลมาก และอยากมีน้ำในสวนเท่านั้นครับ พื้นที่เดิมเป็นที่โล่ง ๆ ปลูกต้นไม้อยู่บ้างแล้ว มีเรือนกระจกเลี้ยงแคคตัส ซึ่งผมมองว่า ทั้งเรือนกระจกและตัวบ้านเท่มากครับ คิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรให้ทุกอย่างเชื่อมต่อเป็นพื้นที่เดียวกัน ส่วนอีกด้านของบ้านมีบ่อบัวขนาดใหญ่ มีสนามหญ้ากว้าง มีทางเดินไม้ และปลูกต้นไม้อยู่บ้างแล้ว ซึ่งเป็นฝีมือออกแบบของเจ้าของบ้าน เท่าที่เห็นก็รู้เลยครับว่าเป็นคนรักต้นไม้ และมีความรู้ความสนใจเรื่องสวนเรื่องต้นไม้อยู่ประมาณหนึ่งเลยทีเดียวครับ”

สวนป่าแบบโปร่ง
บ่อปลาลึก 1.20 เมตร เตรียมไว้เลี้ยงปลาคาร์ป ตั้งใจแยกออกมาให้อยู่ห่างจากน้ำตก ออกแบบให้บ่อมีขนาดใหญ่และมีทางเดินไม้ติดขอบบ่อไปยังเทอร์เรซของบ้าน เพื่อเชื่อมให้บ้านและสวนเป็นพื้นที่เดียวกัน

พื้นที่สวนขนาด 300 ตารางเมตร มีลักษณะเป็นรูปตัวยู (U) ล้อมรอบบ้าน ภาพรวมยังคงเป็นสวนป่าตามสไตล์ที่คุณต้องถนัด แต่กลับดูต่างจากงานที่ผ่านมา เป็นสวนป่าที่ดูโล่งสบายตา แต่ยังคงร่มครึ้มด้วยพรรณไม้หลากหลายที่ปลูกเรียงรายอยู่สองข้างทางเดินที่พาลัดเลาะไปยังมุมต่าง ๆ รอบบ้าน

“ผมอยากให้ที่นี่ดูเป็น สวนป่าแบบโปร่ง สะอาด และไม่อึดอัด แต่ยังคงความร่มรื่นไว้ครับ ตอนกลางวันที่นี่ค่อนข้างร้อน ดีที่มีต้นไม้เดิมปลูกอยู่บ้างแล้ว ทั้งมะเฟือง หูกระจก แคนา ตีนเป็ดฝรั่ง แต่ปลูกเรียงกันเป็นแถว ซึ่งก็ไม่ค่อยเหมาะเท่าไรนักกับแนวสวนป่า แต่เพราะเจ้าของรักต้นไม้มากครับ ผมเลยเก็บต้นไม้เดิมไว้เกือบทั้งหมด และปลูกต้นใหม่เพิ่มโดยปลูกสลับกับต้นเดิม เพื่อดึงอารมณ์ของสวนป่าเข้ามา ที่นี่พื้นที่ไม่กว้างนัก ถ้าไม่ทำให้ร่มรื่นก็จะดูไม่มีอะไรเลย ผมตั้งใจปลูกต้นไม้ให้ดูเป็นซุ้ม อารมณ์เหมือนเป็นหลังคาของสวน เลือกไม้ต้นฟอร์มสวยที่ด้านล่างโล่ง และแตกกิ่งด้านบนเป็นทรงคล้ายเห็ด ตั้งใจให้พุ่มใบชนกันทั้งหมดทุกต้น ค่อย ๆ มองลอดไปเห็นตัวอาคารและมุมต่าง ๆ ในสวน ก็ตระเวนหาต้นไม้กันหลายที่กว่าจะได้ต้นที่ต้องการ

ทางเดินในสวนทำเป็นสะพานไม้ ปลูกต้นไม้ดูสวยงาม โซนนี้เป็นฝีมือการออกแบบของเจ้าของบ้านทั้งหมด
ลานหน้าบ้านเดิมเป็นพื้นปูน คุณต้องเสนอให้เปลี่ยนเป็นพื้นไม้ และขยายขนาดให้ใหญ่พอสำหรับซ่อนระบบกรองบ่อปลาไว้ด้านล่าง ตีระแนงเป็นซุ้มหลังคา เผื่อให้ไม้เลื้อยพันเกาะในอนาคต
โจทย์คือสวนที่ไม่รกจนดูอึดอัดแต่ยังคงความร่มรื่นไว้ตามสไตล์สวนป่า แก้ปัญหาโดยใช้ต้นไม้ฟอร์มสวยที่ด้านล่างโปร่งโล่ง แตกพุ่มใบด้านบนชนกันทั้งหมด อารมณ์เหมือนเป็นซุ้มหลังคาของสวน จำนวนต้นไม้ที่ใช้ก็ไม่ต่างจากสวนป่าอื่นๆ ที่เคยทำ อาจเพิ่มความยากในการตามหา และต้องพิถีพิถันกับการเลือกฟอร์มของต้นไม้

“ถ้าสังเกตดี ๆ อีกสิ่งที่เห็นคือ สวนนี้จะมีต้นไม้แค่สองระดับ คือ ไม้ระดับสูง (ไม้ต้น) และไม้ระดับล่าง (ไม้คลุมดิน) ไม่มีไม้ระดับกลาง (ไม้พุ่ม) ครับ สาเหตุมาจากพื้นที่ค่อนข้างเล็ก และจุดประสงค์ของเราที่ต้องการให้สวนดูโปร่ง ถ้ามีไม้ระดับกลางเพิ่มเข้าไปอีก กิ่งจะพันกันทำให้สวนดูทึบ และไม้ระดับสูงที่นี่ต้นจะไม่ใหญ่และมีความสูงไม่มากนัก ซึ่งจะถือว่าเป็นไม้ระดับสองก็ได้นะครับ ข้อดีคือเราไม่ต้องค้ำยันต้นไม้เหมือนการปลูกต้นไม้ขนาดใหญ่ สวนจึงดูโปร่งอย่างที่เห็น ส่วนไม้คลุมดินระดับล่างโดนบังคับให้เลือกใช้ได้น้อยชนิด เช่น หนวดปลาดุก กนกนารี เพราะ พื้นที่ด้านล่างร่มมาก บางจุดที่ดูโล่งเกินไปก็ใส่เฟินห้อยตามกิ่งไม้ เพื่อช่วยลดช่องว่างระหว่างไม้ระดับบนกับระดับล่างครับ ที่นี่อาจดูไม่เป็นสวนป่าร้อยเปอร์เซ็นต์ ด้วยไม้พุ่มที่เลือกใช้ค่อนข้างเป็นไม้ที่มีทรง มีฟอร์ม เพราะ โจทย์คือต้องการต้นไม้ที่ดูแลง่าย ไม่ต้องตัดแต่งมาก แต่ยังดูเรียบร้อยสบายตา ผมเลือกใช้ต้นไม้ที่โตช้า และไม่ต้องตัดแต่ง เน้นพวกไม้ใบสีเขียวเป็นหลักให้เข้ากับสไตล์สวนป่า ใส่บีโกเนียเพื่อเพิ่มสีสันบ้างบางจุด ไม่ให้ดูเขียวไปทั้งหมดครับ”

ด้านหน้าสวนมีมุมนั่งเล่นเป็นลานไม้กว้าง มองเห็นสวนด้านในที่ดูร่มรื่นชวนให้เดินเข้าไป
เรือนกระจกสำหรับปลูกเลี้ยงแคคตัส ต้นไม้ที่เจ้าของบ้านรัก เดิมปลูกไทรเกาหลีเป็นรั้วบังไว้ แต่เมื่อเห็นเรือนกระจกด้านหลังเสร็จ คุณต้องตัดสินใจรื้อไทรเกาหลีออก เพื่อเปิดให้เห็นเรือนกระจกหลังงามที่ดูไปด้วยกันได้กับสไตล์สวนป่าของบ้าน

นอกจากสไตล์สวนป่าของคุณต้องที่ดูต่างไปจากงานออกแบบที่ผ่านมาแล้ว อีกสิ่งที่สะดุดตาคือ แผ่นหินขนาดใหญ่ที่ใช้เป็นทางเดินในสวน ซึ่งบางแผ่นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกว่า 1 เมตร

“ผมอยากให้เดินในสวนได้สะดวกครับ ทางเดินเป็นแผ่นหินเทียมขนาดใหญ่ โดยเลือกใช้สีที่ไปด้วยกันได้กับหินแกรนิตที่ใช้ตกแต่งในสวนเป็นหลัก สาเหตุที่เลือกทำเป็นหินเทียม เพราะ ถ้าใช้แผ่นหินจริงจะมีราคาแพงกว่าเท่าตัว และหาขนาดที่ต้องการยากครับ การขนส่งก็ลำบากเพราะมีน้ำหนักมาก ต้องระวังเรื่องแตกหักเสียหายอีก บางครั้งก็ต้องเอามาตัดให้ได้รูปทรงตามต้องการ เพิ่มค่าใช้จ่ายและขั้นตอนการทำงาน ทำให้เสียเวลามากขึ้น แต่ถ้าเป็นหินเทียมเราสามารถปั้นที่หน้างานได้เลย อยากวางตรงไหน รูปร่างอย่างไร ขนาดเท่าไร สามารถทำได้หมด ใช้เวลาน้อยและประหยัดกว่า ที่นี่เป็นที่แรก ๆ ที่ผมทำหินเทียมเองครับ วางตำแหน่งให้เดินคดเคี้ยวไปยังจุดต่าง ๆ ในสวน เดินไปยังเรือนแคคตัสด้านข้างบ้าน เดินไปสวนน้ำตกอีกฝั่ง และเดินไปถึงเรือนกระจกอีกหลังที่อยู่ด้านหลัง สามารถเดินถึงกันได้ทั้งสวนครับ

ข้อดีของหินเทียม คือ ราคาถูกกว่า น้ำหนักเบากว่า และสามารถทำได้ทุกรูปแบบที่ต้องการ สำหรับการทำงานของทีมคุณต้องนั้น วันหนึ่งสามารถทำได้ 2-3 แผ่น / คน หากทำหลายคนก็ยิ่งทำได้มากขึ้น สวนนี้ใช้เวลาทำแผ่นทางเดินหินเทียมเสร็จใน 2-3 วัน เพราะสามารถทำตามขั้นตอนไปได้พร้อมๆ กันทั้งหมด ช่วยประหยัดเวลาในการทำงานและค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการเลือกใช้แผ่นหินจริงตามธรรมชาติ
น้ำตกยิ่งสูงเสียงน้ำที่ตกกระทบก็จะยิ่งดัง น้ำตกในสวนนี้คุณต้องเลือกใช้หินกาบหน้ากว้างแผ่นใหญ่วางเป็นชั้นน้ำตกให้น้ำค่อยๆ ไหลรินลงมา จุดประสงค์คือให้เกิดความเคลื่อนไหวในสวนตามสไตล์สวนป่าแต่ไม่สร้างเสียงดังจนรบกวนการพักผ่อน

“น้ำตกที่นี่เป็นน้ำตกขนาดเล็ก ๆ เตี้ย ๆ เพราะ ไม่อยากให้เกิดเสียงดังไปรบกวนห้องนอนที่อยู่ใกล้ ๆ ส่วนบ่อปลาตั้งใจแยกออกมาจากน้ำตกให้อยู่ติดกับเทอร์เรซของบ้านครับ โดยปรับให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เพราะ ต้องซ่อนระบบกรองบ่อปลาไว้ด้านล่าง และออกแบบให้บ่อปลาอยู่ติดกับเทอร์เรซ เพื่อเชื่อมพื้นที่ระหว่างบ้านกับสวนให้ต่อเนื่องกัน”

อีกสิ่งหนึ่งที่ยังคงเอกลักษณ์สวนป่าสไตล์คุณต้อง คือ ยังคงติดตั้งระบบพ่นหมอกทั่วบริเวณสวน แต่เป็นการนำหัวพ่นหมอกแรงดันต่ำ หรือที่ในท้องตลาดเรียกว่า “หัวฟ็อก” มาใช้เพิ่มขึ้นแทนการใช้สปริงเกลอร์ ด้วยเหตุผลที่ว่า ต้นไม้ในสวนป่าส่วนใหญ่มีใบที่อ่อนนุ่ม บางครั้งน้ำจากสปริงเกลอร์อาจแรงเกินไป ทำให้ใบช้ำ หรือเกิดน้ำขังจนเน่าตายได้ หัวฟ็อกให้ผลที่คล้ายหัวพ่นหมอกในราคาที่ถูกกว่า 2-3 เท่าเลยทีเดียว

นิตยสารบ้านและสวน คอลัมน์สวนสวย เมษายน 2565
เรื่อง : วชิรพงศ์ หวลบุตตา
ภาพ : ฤทธิรงค์ จันทองสุข

เจ้าของ : คุณคมสัน อากาศวิภาต

ออกแบบ : Ayothaya Landscape โดยคุณทิวา อ่อนสุวรรณ โทรศัพท์ 09-2684-9835