งานจบ อารมณ์ไม่จบที่งาน Wonderfruit

Wonderfruit Festival ถือเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองเกี่ยวศิลปะ ดนตรี และชีวิตที่หลายคนตั้งตารอคอยเพราะเป็นพื้นที่ที่ความสนุกและการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมมาบรรจบกันกลายเป็นการผจญภัยที่สนุกสนาน ซึ่งอาจจุดประกายการเปลี่ยนแปลงด้านบวกให้แก่สังคม เพราะตั้งแต่กิจกรรมไปจนถึงสถาปัตยกรรมตามโซนต่างๆในงานนั้นออกแบบมาอย่างสร้างสรรค์ ทั้งยังคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอันจะส่งผลดีแก่โลกใบนี้ สำหรับงานในปีนี้จัดไปเมื่อวันที่ 16 -19 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ เดอะฟิลด์ แอท สยามคันทรีคลับ พัทยา

นอกจากดนตรีและการแสดงในงานนี้จะน่าสนใจและน่าติดตามแล้ว เวทีและสถาปัตยกรรมต่างๆก็โดดเด่นไม่แพ้กัน เพราะได้รับการออกแบบโดยนักประติมากรรมและวิศวกรระดับโลก ซึ่งได้นำนวัตกรรมและเทคนิคใหม่ๆมาสร้างสรรค์เพื่อให้งาน Wonderfruit มีความน่าตื่นตาตื่นใจมากยิ่งขึ้น “บ้านและสวน” จึงขอย้อนรอยพาไปชมจุดไฮไลต์ต่างๆในงาน พร้อมภาพบรรยากาศในงานกันครับ

Living Stage

Wonderfruit

เวทีที่รองรับการแสดงดนตรีอันหลากหลาย ทั้งการแสดงดนตรีสดเต็มรูปแบบ เต้นโยกกันไปมากับวงฮิปฮอปจากสกอตแลนด์ และการแสดงดนตรีสดที่ผสานดนตรีแนวออร์เคสตราในโซนนี้ยังสร้างความแปลกใหม่แบบไม่ซ้ำกันตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมาของการจัดงานโดยในปีนี้เวทีถูกสร้างสรรค์โดย Adam Pollina ตะลึงไปกับความสวยงามของศิลปะที่ได้แรงบันดาลใจจากขนนกยูงพร้อมแสงสีสุดตระการตาที่เข้ามาเพิ่มความอลังการในยามค่ำคืน

Rainforest Pavilion

พื้นที่ที่มีมาตั้งแต่ปีแรก จนถึงปีนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังอย่าง ดวงฤทธิ์ บุญนาค ซึ่งได้นำเสนอเป็นโปรเจ็คต์ใหม่ล่าสุดของ Joy Collective และ Bali Praia เปิดโลกทัศน์ในช่วงกลางวันด้วยการเลียนแบบเสียงธรรมชาติจากป่าฝนบนเกาะสุมาตรา และฉายภาพสามมิติจำลองพื้นที่เสมือนจริงจากกาลีมันตันหรือเกาะบอร์เนียว ฟังเรื่องราวน่าสนใจ พร้อมทำความเข้าใจกับการดำเนินการเกี่ยวกับขยะ และการทำงานด้านสิ่งแวดล้อม พอถึงยามค่ำคืนพื้นที่แห่งนี้ก็จะเปลี่ยนเป็นมุมปาร์ตี้สุดมันที่มีเหล่าดีเจดังจากทั่วโลกมาเปิดเพลงสร้างความเร้าใจ

Solar Stage

เวทีรูปทรงเรขาคณิตที่สร้างด้วยวิธีการเข้าไม้ตามแบบโบราณของไทย โดยไม่มีอะไรมาเป็นตัวยึด เป็นฝีมือการรังสรรค์ของ Gregg Fleishmenศิลปินผู้โด่งดังจาก Burning Manซึ่งจะทำให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสถึงมนตร์เสน่ห์ของโซนนี้ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นยามเช้าไปจนถึงดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าในยามเย็น ด้วยกิจกรรมที่อัดแน่นมากมาย อาทิ การฝึกโยคะต้อนรับแสงเช้ากับปรมาจารย์ระดับโลกอย่างLiv Lo และ Rosemaryการแสดงของ Eric Volta, Sabo, YokoO และปิดท้ายด้วยบรรยากาศดวงอาทิตย์ตกดินสุดโรแมนติกกับWolf + Lamb, Norman Jay MBE, KMLN, Marc Antona และ Akimboที่จะมาสร้างเรื่องราวดีๆที่น่าจดจำให้ทุกคนในงาน

Farm Stage

เป็นโซนที่ชูความเป็นไทยได้ชัดเจนมากเพราะออกแบบเป็นเวทีปราสาทข้าวที่สะท้อนวัฒนธรรมความเป็นไทยอีสานอันเป็นสัญลักษณ์ของการเก็บเกี่ยวประจำปี เวทีนี้ได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกจาก PO-D และ ธ.ไก่ชน ที่ขึ้นโครงสร้างด้วยไม้ไผ่ ตกแต่งด้วยรวงข้าวของจริง เป็นข้าวเหนียวพันธุ์สันกำแพงที่เกษตรกรที่นั่นปลูกและเก็บเกี่ยวเองกับมือ ซึ่งพอจบงานแล้วทั้งไม้ไผ่และรวงข้าวก็สามารถนำกลับไปใช้ประโยชน์ต่อได้

นอกจากการแสดงและดนตรีบนเวทีแล้ว โดยรอบเวทีในช่วงกลางวันยังมีกิจกรรมมากมายให้ร่วมสนุก อาทิ กิจกรรมที่เกี่ยวกับข้าว วิธีการทำอาหารตามธรรมชาติ สาธิตการเผาเซรามิกเทคนิครากุ การย้อมผ้า และเวิร์คชอปเกี่ยวกับงานไม้ ให้ผู้ร่วมงานได้เปิดประสบการณ์ใหม่และเรียนรู้คุณประโยชน์ของธรรมชาติอย่างเต็มที่