คุณผู้อ่านที่เป็นแฟนประจำบ้านและสวน คงพอจะเดาได้ว่า ช่วงเดือนกรกฎาคมในรอบหลายปีที่ผ่านมา เรามักนำภาพสวนสวยๆจากงาน Chelsea Flower Show ส่งตรงจากมหานครลอนดอนมาให้ชมกัน
ปีนี้ก็เช่นกัน Chelsea Flower Show งานสวนระดับโลกงานนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 106 แล้ว ระหว่างวันที่ 22-26 พฤษภาคม ที่ผ่านมา รับรองว่าภาพบรรยากาศของงานที่เรานำมาฝากต้องประทับใจคนรักสวนแน่นอน
The M&G Garden ออกแบบโดย Sarah Price เป็นสวนของผู้สนับสนุนหลักในงาน ออกแบบให้เหมาะกับสภาพภูมิอากาศที่อบอุ่น มีแสงแดด โดยเลือกใช้พรรณไม้ในแถบเมดิเตอร์เรเนียนที่มีสีสันสดใสสวยงาม นำมาปลูกให้มีลักษณะเหมือนเป็นทุ่งหญ้า มีบ่อน้ำขนาดใหญ่เป็นองค์ประกอบสำคัญในสวน รายล้อมด้วยแปลงสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม แปลงไม้พุ่มและไม้ดอก รวมถึงพืชทนแล้งหลายชนิด ให้บรรยากาศเหมือนสรวงสวรรค์ในเขตร้อนที่สุดแสนโรแมนติกสวน The Morgan Stanley Garden for the NSPCC ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมประเภทสวนโชว์ ออกแบบโดย Chris Beardshaw สวนนี้สื่อถึงการทำงานของ NSPCC ซึ่งเป็นองค์กรที่พิทักษ์เด็กจากการถูกทารุณกรรม โดยทางเข้าสู่สวนในช่วงแรกออกแบบให้มีลักษณะเหมือนป่าที่มีเส้นทางไม่ชัดเจน เปรียบเหมือนสภาวะทางอารมณ์ของเด็กๆ ที่ประสบเหตุการณ์เลวร้าย ก่อนจะนำเข้าสู่พื้นที่สวนที่เปิดกว้างมากขึ้นและมีทางเชื่อมไปยังศาลาไม้ซีดาร์ที่ล้อมรอบด้วยบ่อน้ำ ซึ่งให้ความรู้สึกสงบและปลอดภัย เปรียบได้กับเด็กๆ ที่ได้รับความช่วยเหลือให้อยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย
งานปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงโซนที่จัดแสดงสวนให้แตกต่างจากปีก่อนอยู่บ้าง แต่ยังคงมีไอเดียการจัดสวนให้เก็บเกี่ยวได้อย่างเต็มเปี่ยมเช่นเคย เราได้เก็บภาพบรรยากาศของโซนสำคัญทั้ง 4 โซนมาให้ชมอย่างครบถ้วน ได้แก่ Show Garden สวนโชว์ที่มีคนให้ความสนใจอย่างคับคั่ง ถือเป็นประเภทสวนที่มีเนื้อที่ในการจัดแสดงใหญ่ที่สุด และยังได้นักจัดสวนมือดีจากทั่วโลกพร้อมใจกันจัดสวนร่วมกับสปอนเซอร์ต่างๆ จึงเต็มไปด้วยรูปแบบการจัดสวนที่น่าสนใจ รวมไปถึงนำเสนอเทรนด์ต่างๆ ของสวนประจำปีนี้อีกด้วย ซึ่งสวนที่ได้รางวัล Best Show Garden ในประเภทนี้ ได้แก่ The Morgan Stanley Garden for the NSPCC เป็นสวนที่ต้องเดินเข้าไปภายใน จึงจะได้สัมผัสกับการตีความแต่ละโซนในสวนที่คิดไว้อย่างลึกซึ้ง
สวน The Trailfinders South African Wine Estate ออกแบบโดย Jonathan Snow สวนที่จำลองบรรยากาศอันสวยงามของแหล่งผลิตไวน์เลื่องชื่อในแอฟริกาใต้ โดยทำระเบียงปูพื้นกระเบื้องดินเผาทอดลงสู่สวนที่จัดให้มีบรรยากาศโรแมนติก ทำซุ้มประตูเชื่อมต่อไปยังไร่องุ่นและสวนที่จัดให้มีภูมิทัศน์แบบป่าอันสวยงาม ปลูกพรรณไม้หลากหลายชนิดที่แสดงให้เห็นถึงสภาพแวดล้อมแบบป่าดิบชื้นจนถึงแบบเมดิเตอร์เรเนียนที่ดูเขียวชอุ่ม ร่วมด้วยดอกไม้สีสันสดใสที่ดูแปลกตาสวน O-mo-te-na-shi no NIWA -The Hospitality Garden ออกแบบโดย Kazuyuki Ishihara ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมประเภท Artisan Garden สวนนี้ได้แรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมการต้อนรับในสไตล์ญี่ปุ่นที่เรียกว่า “Omotenashi” ซึ่งแสดงถึงความจริงใจและจริงจัง ภายในสวนมีการจัดวางต้นไม้เหมือนงานศิลปะจัดดอกไม้ Ikebana ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบอย่างบ้านทรงเหลี่ยม (Azumaya) ซึ่งใช้วัสดุมุงหลังคาที่ทำจากทองแดง รวมถึงบ่อกลางสวนที่รายล้อมด้วยต้นเมเปิ้ลญี่ปุ่น เมื่อฟังเสียงน้ำตกลงบนหิน ก็ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายจนลืมเวลาไปเลย
ถัดมาถือเป็นโซนใหม่ของปีนี้ ได้แก่ Space to Grow Garden ซึ่งมีการจัดวางตำแหน่งให้เดินชมได้ง่ายและสะดวกขึ้น เป็นสวนขนาดย่อมลงมาจากสวนโชว์ แต่ยังขนเอาตัวอย่างการใช้วัสดุ สีสันในสวน และการจัดวางฟังก์ชันใช้งานที่ดึงดูดความสนใจได้ดี โดยสวน Best Show Garden ของประเภทนี้ ได้แก่ Urban Flow Garden ซึ่งสอดแทรกฟังก์ชันการใช้งานในสวนได้อย่างครบครัน เรียกว่าสามารถทำกิจกรรมภายนอกบ้านได้อย่างสะดวก และมีการใช้ผนังสวนแบบต่างๆ มาแบ่งสเปซในสวนได้อย่างน่าสนใจ นอกจากนี้ยังมีโซนยอดฮิตของงาน คือ Artisan Garden ซึ่งมีไอเดียการตกแต่งสวนที่หลากหลาย บางไอเดียสามารถทำตามเองได้ง่ายๆ หรือมีหลายฟังก์ชันในหนึ่งเดียว ซึ่งสวนที่ได้ Best Show Garden ของประเภทนี้ คือ O-mo-te-na-shi no NIWA -The Hospitality Garden ของนักออกแบบชาวญี่ปุ่นที่มากวาดรางวัลกลับบ้านไปอีกเช่นเคย
สวน VTB Capital Garden – Spirit of Cornwall ออกแบบโดย Stuart Charles Towner with Studio Evans Lane เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างนักออกแบบสวน สถาปนิก นักดนตรี และนักแต่งเพลง โดยได้แรงบันดาลใจจาก Barbara Hepworth ประติมากรชาวอังกฤษ และ Leo Geyer นักแต่งเพลงชาวอังกฤษ การจัดสวนเน้นสไตล์ร่วมสมัย โดยเลือกใช้พรรณไม้ในเขตร้อนชื้นและเขตร้อนที่พบในดินแดนคอร์นวอลล์ของอังกฤษสวน The Wedgwood Garden ออกแบบโดย Jo Thompson ได้รับรางวัลเหรีญทอง โดยใช้รูปแบบการจัดสวนสไตล์สวนลับ (Secret Garden) และสวนชาที่ได้รับความนิยมในหมู่ชาวอังกฤษช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยเฉพาะสุภาพสตรีที่มักใช้เป็นสถานที่สังสรรค์เพื่อดื่มชาหรือดื่มด่ำกับธรรมชาติภายในสวน แต่นำมาตีความใหม่ให้ดูทันสมัยขึ้น และยังแฝงด้วยความสนุกสนานและความหรูหราตามสไตล์อังกฤษ โดดเด่นด้วยศาลารูปทรงโค้งที่ล้อไปกับลำธารที่คดเคี้ยว ร่วมด้วยการปลูกพรรณไม้ผสมผสานกับก้อนหินอย่างเป็นธรรมชาติ
