กระเทียมวัตถุดิบสามัญประจำครัว ที่มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ใส่ในเมนูจานไหนก็อร่อยหอมถูกใจ เรียกว่าขาดไม่ได้ตั้งแต่การทำน้ำจิ้ม การหมักเนื้อสัตว์ เมนูแกง เมนูผัด รวมไปถึงการทานแบบสด ๆ ซึ่งนอกจากรสชาติจะช่วยชูให้เมนูต่าง ๆ อร่อยมากขึ้นแล้ว กระเทียมยังมีสรรพคุณทางยาจากสารอัลลิซิน (Allicin) ที่ทำให้กระเทียมมีกลิ่นฉุน รวมทั้งมีส่วนช่วยรักษาอาการหวัด ช่วยลดระดับไขมันในเลือด แก้อาการผมร่วง รวมถึงสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้อีกด้วย วันนี้ my home จะพาไปรู้จักกับกระเทียมประเภทต่าง ๆ รวมถึงการนำไปใช้ปรุงอาหารให้เหมาะกับอาหารแต่ละประเภทอีกด้วย
กระเทียมไทย
ลักษณะหัวทรงกลม แบน มีเปลือกสีขาวหรือสีม่วงอ่อนห่อหุ้มไว้แบบบาง ๆ ด้านในหัวแยกเป็นกลีบขนาดเล็ก เนื้อสีเหลืองอ่อน เนื้อน้อย น้ำน้อย กระเทียมไทยเลยดูเหมือนเหี่ยว ๆ ทำให้ปอกยาก แต่ให้กลิ่นหอมที่ชัดเจน และยังให้รสชาติที่เผ็ดแบบพอดี ๆ นิยมนำไปประกอบอาหารที่ต้องการกลิ่นกระเทียมชัด ๆ อย่างเช่นเมนูอาหารไทย นำไปทำเป็นกระเทียมเจียว ตำน้ำพริก พริกแกง
กระเทียมจีน
ลักษณะหัวทรงกลม ป้าน หัวใหญ่มีเปลือกสีขาวห่อหุ้มไว้ ด้านในหัวแยกเป็นกลีบขนาดใหญ่ อวบอ้วน เนื้อสีขาวนวล ให้ปริมาณเนื้อเยอะ ปอกง่ายมาก มีกลิ่นหอมกลาง ๆ ไม่ชัดเจนเท่ากระเทียมไทย ให้รสเผ็ดปร่า ราคาถูกกว่า นิยมนำกระเทียมจีนไปใช้กับเมนูอาหารที่ต้องใช้ปริมาณกระเทียมเยอะ ๆ ใช้ซอยโรยหน้าเมนูอาหาร ประกอบอาหารต่างประเทศ หรือซอยใส่พริกน้ำปลา
กระเทียมโทน
ไม่นับว่าเป็นสายพันธุ์ของกระเทียมเพราะสามารถปลูกได้จากกลีบกระเทียมทั่วไป กระเทียมโทนเกิดจากการเติบโตที่ไม่สมบูรณ์ ทำให้บางกลีบลีบเล็กและฝ่อไปในระหว่างทาง จึงทำให้เหลือเติบโตเพียงกลีบเดียว ลักษณะของกระเทียมโทนเป็นกลีบเดี่ยว ไม่มีกลีบย่อย ทรงกลม เนื้อเยอะ ไม่นิยมใช้เป็นเครื่องเทศเพราะกลิ่นไม่ฉุน ส่วนใหญ่จึงนิยมนำไปดองกับน้ำผึ้งหรือน้ำตาลเพื่อทำเป็นกระเทียมดอง สามารถทานสด หรือใช้เป็นผักเคียงคู่เมนูอาหาร
กระเทียมดำ
เกิดจากการแปรรูปกระเทียมสด ด้วยการหมักบ่มประมาณ 1 เดือน ทำให้รสหวาน เนื้อนุ่ม ไม่มีกลิ่น และเปลี่ยนเป็นสีดำ ที่สำคัญยังทำให้ปริมาณสารอาหารที่สำคัญ ๆ ในกระเทียมเพิ่มสูงขึ้นกว่า 13 เท่าเมื่อเทียบกับกระเทียมสด สามารถใช้กระเทียมจีนหรือกระเทียมโทนมาทำก็ได้เช่นกัน
