ของดีติดรถเข็นผลไม้เคียงข้างมากับผลไม้เย็นฉ่ำนั่นก็คือ พริกเกลือ แบบต่าง ๆ ที่คุณลุงคนขายมักจะเลือกจับคู่อย่าลงตัวกับผลไม้ที่ทั้งช่วยชูรส และ กลบรสของผลไม้ ลองสังเกตุดูช่องสามัญประจำรถแต่ละคันก็มีอยู่ 2 – 3 ช่อง แต่กลับปรุงพริกเกลือออกมาได้อย่างหลากหลาย
ส่วนใหญ่จะมีช่องพริกเกลือสามัญประจำรถอยู่ไม่กี่ช่อง แต่ด้วยการเล่นแร่ แปรธาตุของคุณพ่อค้ากลับปรุง พริกเกลือ ออกมาเป็นเครื่องจิ้มรสชาติต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลายแบบ ที่ทั้งช่วยชูรส และ กลบรของผลไม้ วันนี้ my home เลยขอยกรถเข็นขายผลไม้มาแกะสูตรพริกเกลือ 6 อย่าง มาแบ่งปันความแซ่บนัวกันจ้า เพื่อใครวิ่งออกไปดักรถผลไม้ไม่ทัน ก็สามารถปรุงเองได้ที่บ้านได้ง่าย ๆ เลยหล่ะค่ะ เตรียมปลอกผลไม้ใกล้ตัวให้พร้อม แล้วไปปรุงกันเลย
1.พริกเกลือ

เริ่มต้นด้วยเครื่องจิ้มเบสิค ๆ อย่างพริกเกลือสีส้มอมชมพูอ่อน ๆ ที่ไม่ว่าเราจะแวะเวียนไปซื้อผลไม้ที่รถขายผลไม้คันไหน ๆ ก็ต้องมีติดรถเสมอ ถือว่าเป็นเบสของเครื่องจิ้มแบบอื่น ๆ เลยก็ว่าได้ เพราะเจ้าพริกเกลือนั้นสามารถนำไปผสม นำไปต่อยอด แตกไลน์เป็นเครื่องจิ้มแบบอื่น ๆ ได้ ส่วนผสมหลักของพริกเกลือนั้นไม่ใช่พริกกับเกลืออย่างชื่อเรียกหรอกค่ะ แต่เป็นน้ำตาลทรายขาวแทน รสชาติของพริกเกลือจึงออกหวานนำ เผ็ดตาม เค็มติดที่ปลายลิ้นหน่อย ๆ สามารถจิ้มได้กับผลไม้เกือบทุกรสชาติเลยค่ะ
ส่วนผสมพริกเกลือ
- น้ำตาลทรายขาว 4 ช้อนโต๊ะ
- พริกขี้หนูสวนหั่นแว่น ปริมาณตามชอบ
- เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
- นำพริกมาตำให้ละเอียดใครไม่มีครกก็สามารถทำพริกเข้าเครื่องปั่นอาหาร ปั่นจนพริกละเอียดแทนได้ค่ะ
- เติมน้ำตาลลงไปคลุกเคล้ากับพริกก่อนใส่เกลือเสมอ เพื่อไม่ให้พริกเกลือนั้นมีความแฉะจนเกินไป
- จากนั้นค่อยเติมเกลือตามลงไป คลุกให้ส่วนผสมทุกอย่างเข้ากัน เท่านี้เราก็ได้พริกเกลือแล้วค่ะ
2.พริกเกลือลาว

สำหรับคนที่ชื่นชอบรสชาติที่จัดจ้าน พริกเกลือลาว หรือที่เรียกชื่อแบบคุ้นเคยกันว่า พริกเกลือผงชูรส นั้นคงติดอันดับต้น ๆ ในใจเป็นแน่ เพราะเจ้าพริกเกลือลาวนั้นมีรสชาติจัดจ้านในทุก ๆ ย่านเลยหล่ะค่ะ เผ็ดจริง! เค็มจริง! นัวจริง! จึงเหมาะกับการจิ้มกับผลไม้รสเปรี้ยวอย่างพวกมะม่วงเปรี้ยวจัด ๆ องุ่นดอง มะเฟือง มะดัน นอกจากรสแซ่บนัวแล้ว พริกเกลือลาวยังไม่มีกลิ่นรบกวนคนข้าง ๆ เวลาแอบทานในพื้นที่แบบปิด อย่างในออฟฟิศอีกด้วยจ้า แต่ถ้าทานมาก ๆ ก็ควรจะพกน้ำเปล่าไปจิบระหว่างทานกันบ้างนะคะ ส่วนใหญ่ที่แพ้ผงชูรส แนะนำให้หลีกเลี่ยงดีกว่าจ้า
ส่วนผสม
- พริกแห้ง ปริมาณตามชอบ
- เกลือหยาบ 5 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทรายขาว 2 ช้อนโต๊ะ
- ผงชูรส 1 ช้อนชา
วิธีทำ
- ใช้ช้อนกดให้พริกแห้งแตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ จากนั้นเติมเกลือหยาบคลุกให้เข้ากัน
- ใส่น้ำตาลทรายขาวตามลงไป
- ใส่ผงชูรสลงไปเป็นอันดับสุดท้าย จากนั้นคนให้เข้ากัน หากใครชอบเนื้อสัมผัสแบบเปียก จิ้มแล้วจับตัวเป็นก้อนก็สามารถเติมน้ำเปล่าลงไปผสมได้ค่ะ
Tips อายุการเก็บรักษาของพริกลาวนั้นค่อยข้างนานกว่าเครื่องจิ้มประเภทอื่น ๆ เพราะประกอบขึ้นจากของแห้งทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องใส่ตู้เย็น เพียงวางให้อยู่ไกลจากพื้นที่ที่มีความชื้นมาก
3. กะปิหวานแบบแห้ง

ของอร่อย นอกจากรสชาติจะดีแล้ว กลิ่นก็ต้องดีตามไปด้วย สำหรับใครที่เป็นกะปิเลิฟเวอร์ คงกำลังทำตาเป็นประกาย พยักหน้าเห็นด้วยอย่างแน่นนอน เจ้ากะปิหวานแบบแห้งนั้น เป็นหนึ่งในสามช่องเครื่องจิ้มที่ร้านขายผลไม้ต้องมี ! ปัจจุบันมีแบบบรรจุกระปุกขายตามซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกอีกด้วยค่ะ แต่ความนัวนั้นก็อาจจะลดหลั่นลงไปตามสูตรของแต่ละเจ้า แต่การรับประทานกะปิหวานแบบแห้งนั้นต้องดูสถานที่กันเสียหน่อย เพราะกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์นั้น สามารถพุ่งตัวไปสะกิดประสาทรับรู้ของผู้คนได้อย่างว่องไว ทางที่ดีควรทานในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวกนะคะ
ส่วนผสมกะปิหวานแบบแห้ง
- กะปิ 5 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
- พริกป่น ปริมาณตามชอบ
วิธีทำ
- นำกะปิมาเผากับใบตองด้วยไฟอ่อน ๆ สามารถใช้ไฟจากเตาแก๊สได้เพื่อเพิ่มความหอมให้กับกะปิมากยิ่งขึ้น
- จากนั้นผสมกะปิเข้ากับน้ำตาลก่อนโดยการเติมน้ำตาลนั้นไม่ควรใส่น้ำตาลทั้งหมดลงไป ควรจะค่อย ๆ เติมน้ำตาลทรายลงไปทีละน้อย คลุกให้น้ำตาลเข้ากับกะปิจนกะปิดเริ่มร่วน
- จากนั้นเติมพริกป่นปริมาณตามชอบ คลุกเคล้าให้เข้ากัน
tips การทำกะปิหวานแบบแห้งนั้นสามารถนำน้ำจิ้มพริกเกลือ มาผสมกับกะปิโดยตรงก็ได้ค่ะ แต่อาจจะต้องใช้เวลาคลุกเคล้าให้ส่วนผสมเข้ากันซักหน่อย แต่ความอร่อยแซ้บนัวไม่ได้หนีกันเลยหล่ะค่ะ