เที่ยวบ้านชมเมือง…จาก หาดใหญ่ ไปสงขลา

            เป็นอีกครั้งที่ผมได้มาเยือน หาดใหญ่ เมืองศูนย์กลางการค้าและเศรษฐกิจของภาคใต้ ซึ่งห่างจากครั้งแรกที่มาเกือบสามสิบปี

หาดใหญ่ในวันนั้นเป็นคนละแบบกับในวันนี้ ในอดีตเท่าที่จำได้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะไปช็อปปิ้งกันที่ตลาดกิมหยง และโดยมากก็จะซื้อของที่มาจากต่างประเทศอย่างพวกกาแฟสำเร็จรูป ขนม แต่ที่ขึ้นชื่อมากที่สุดคงจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่นซาวนด์อะเบ๊าท์ หูฟัง เครื่องเล่นเทป และวิทยุ ซึ่งราคาจะถูกมาก แต่ปัจจุบันวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีเปลี่ยนไปเราสามารถสั่งซื้อของที่ต้องการผ่านช่องทางออนไลน์ได้ ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปซื้อถึงที่นี่กันแล้ว บรรยากาศของหาดใหญ่จึงอาจไม่คึกคักเหมือนก่อน แต่ถ้าหากคุณต้องการมาใช้ชีวิต ที่หาดใหญ่ก็ยังมีอะไรให้คุณมาค้นหาครับ

ทริปหาดใหญ่และสงขลาในครั้งนี้ออกจะเร่งด่วนไปนิด แต่เมื่ออยากมาก็ต้องได้มา ผมจองตั๋วเครื่องบินตอนสองทุ่ม และเดินทางตอนแปดโมงเช้าของวันรุ่งขึ้นเลย ถึงหาดใหญ่ประมาณเก้าโมงกว่าๆก็หารถเข้าตัวเมืองเพื่อรองท้องมื้อเช้ากันก่อน คนขับรถแนะนำให้มาที่โชคดี แต่เตี้ยม ร้านดังที่ตั้งอยู่บนถนนละม้ายสงเคราะห์อาหารแนะนำคือบะกุดเต๋น้ำดำรสชาติเข้มข้น พร้อมติ่มซำที่เลือกเมนูได้ตามชอบ

อิ่มแล้วผมเดินทางต่อไปยังที่พัก La Pause Hatyai โรงแรมเล็กๆที่ตั้งบนถนนจุติอุทิศภายในตึกแถวสามชั้นครึ่งมีห้องพัก 8 ห้อง ราคาไม่แพงคืนละ 1,345 บาท

ที่นี่ไม่มีลิฟต์นะครับ จึงอาจไม่เหมาะกับเด็กและผู้สูงอายุ อ้อ…ไม่มีอาหารเช้าให้ด้วย แต่ชั้นล่างของโรงแรมมีร้านกาแฟให้นั่งชิล ในละแวกใกล้เคียงก็มีร้านอาหารหลายร้านเลย เดินเลือกได้ตามใจทั้งร้านข้าวแกงปักษ์ใต้ ข้าวต้มปลา โจ๊กฮ่องกง บะกุดเต๋ และติ่มซำ

เมื่อเก็บของเรียบร้อยก็ถึงเวลาเตร็ดเตร่สำรวจเมือง ผมเดินไปเรื่อยๆจนถึงวัดมงคลเทพาราม (ปากน้ำ) ติดกับวัดนี้มีที่พักเปิดใหม่อีกแห่งคือ The Habita Hatyai Hotel เลยถือโอกาสเข้าไปชมหน่อยโรงแรมนี้ถือว่าสวยงามทันสมัยมากเล็งไว้ว่าคราวหน้าไม่พลาดแน่นอน ที่นี่ยังมีร้านกาแฟสวยๆพร้อมห้องสมุดให้เข้าไปนั่งอ่านด้วย ผมจึงตัดสินใจใช้เวลาที่เหลือที่โรงแรมนี้

เช้าวันที่สอง ผมรีบตื่นแต่เช้ามืดเพื่อไปวิ่งออกกำลังกายและชมบ้านเมืองของหาดใหญ่ไปในตัว ผมมักหาโอกาสวิ่งในทุกที่ที่ผมไปเสมอ ทำตัวให้เหมือนเป็นคนพื้นถิ่น ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวในแบบที่ผมชอบคือเน้นการใช้ชีวิต วันนี้ผมตั้งใจไปชมบรรยากาศของเมืองเก่าในตัวเมืองสงขลา แต่ก่อนอื่นต้องหาอาหารเช้ารับประทานไม่อย่างนั้นไม่มีแรงเดินแน่ ผมเดินไปเจอร้านข้าวมันไก่มุ่ยกี่ โอชาอยู่บนถนนประชารักษ์ ร้านนี้ยังหุงข้าวและต้มน้ำซุปโดยใช้เตาถ่านอยู่ เป็นอีกร้านหนึ่งที่แนะนำให้มาลองกันครับ นอกจากรสชาติดีแล้ว ยังทำให้เราได้สัมผัสและซึบซับกับบรรยากาศแบบเก่าๆอีกด้วย

ตัวเมืองสงขลาอยู่ห่างจากหาดใหญ่ไปประมาณ 30 กิโลเมตร ถือว่าไม่ไกลมากแต่สภาพแวดล้อมดูต่างกันมากเหมือนไม่ใช่จังหวัดเดียวกัน ในขณะที่หาดใหญ่มีตึกสูงในระดับน้องๆกรุงเทพฯ แต่สงขลากลับเป็นเมืองเล็กๆที่มีบรรยากาศสงบและน่ารักการเดินรถก็เป็นแบบทางเดียว รูปทรงของอาคารบ้านเรือนยังคงเป็นแบบเดิมเหมือนเมื่อครั้งเริ่มสร้างเมืองซึ่งได้รับอิทธิพลจากการทำการค้าและความเชื่อของผู้คนในพื้นที่ย่านเมืองเก่าสงขลาแบ่งรูปแบบสถาปัตยกรรมได้เป็น 4 แบบดังนี้

ตึกแถวจีนแบบดั้งเดิม ตึกประเภทนี้จะสร้างตั้งแต่ครั้งสร้างเมืองสงขลาในยุคแรกๆคือตั้งแต่ปีพ.ศ.2379 รูปแบบสถาปัตยกรรมด้านหน้าจะเป็นส่วนค้าขาย และด้านบนมีไว้ใช้เก็บของและมีช่องส่งของเล็กๆมีความยาวที่ดินประมาณ 30-40เมตร ผู้ออกแบบจึงออกแบบให้มีช่องเปิดโล่งตรงกลางส่วนด้านหลังมีไว้เป็นที่พักอาศัย

ตึกแถวแบบจีนพาณิชย์ พัฒนาจากแบบจีนดั้งเดิมแต่มีการปรับให้ทันสมัยมากขึ้น โดยยังคงรูปแบบหลังคาตีน เพิ่มพื้นที่ชั้นบนให้เสมอพื้นที่ชั้นล่าง ด้านหน้าทำเป็นผนังหรือบานประตูเกล็ดระบายความร้อนสำหรับผู้อยู่อาศัยชั้นล่างเป็นพื้นที่ค้าขาย ประตูหน้าเป็นบานไม้พับเก็บด้านข้างเพื่อให้มีพื้นที่สำหรับค้าขายมากขึ้น ตรงกลางอาคารยังคงมีการเว้นช่องเปิดโล่งเพื่อระบายอากาศ

ตึกแถวแบบชิโนยุโรเปี้ยน เป็นสถาปัตยกรรมที่ประดับด้วยลวดลายแบบจีนและยุโรปผสมกัน หลังคาทรงปั้นหยาคล้ายกับที่พบเห็นได้มากที่ภูเก็ต แต่ที่สงขลาจะไม่มีทางเดินใต้อาคารที่เรียกว่า “หงอคาขี่”หรือ “อาเขต” กลางอาคารยังคงมีช่องเปิดและเป็นที่ตั้งของบ่อน้ำบาดาล

ตึกแถวแบบจีนสมัยใหม่ ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกเต็มๆอายุประมาณ 40ปีขึ้นไป มีแผงปิดหลังคาและมีตัวอักษรแสดงปีพ.ศ.ปรากฏบนแผงดังกล่าว บางหลังมีจั่วหรือปั้นหยาซ่อนอยู่อาคารสูงตั้งแต่ 2 – 4ชั้น