วิธีเลือกรองเท้าวิ่ง เลือกอย่างไรให้ถูกใจเท้าและถูกใจคุณ!

คนยุคนี้หันมาให้ความใส่ใจกับเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น กระแสการ “วิ่ง” จึงกลายเป็นการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่เมื่อคุณคิดที่จะวิ่ง สิ่งสำคัญที่สุดคือความปลอดภัย ซึ่งคุณต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ วิธีเลือกรองเท้าวิ่ง

วิธีเลือกรองเท้าวิ่ง

  • คุณเป็นโรคหัวใจหรือไม่
  • ครอบครัวคุณมีประวัติเป็นโรคหัวใจหรือไม่
  • ขณะที่คุณวิ่ง คุณเจ็บหน้าอกหรือไม่หรือเคยเจ็บหน้าอกเมื่ออยู่ในสภาวะปกติหรือไม่
  • คุณมีอาการวิงเวียนศีรษะหรือเป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือไม่

อาการต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่นักวิ่งหน้าใหม่ควรพึงระวังให้มาก เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ยิ่งถ้าคุณมีอายุ 40 ปีขึ้นไป และตลอดสี่ห้าปีที่ผ่านมาไม่ได้ออกกำลังกายเลย สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ต้องพึงระวังให้มากคือการบาดเจ็บจากการวิ่ง สิ่งที่ช่วยลดการบาดเจ็บได้มากที่สุดก็คือ “รองเท้าวิ่ง” ที่เหมาะสมกับเท้าเรา ซึ่งจะช่วยลดการบาดเจ็บจากแรงกระแทกและช่วยให้มีความสบายเท้าในขณะวิ่ง

รองเท้าวิ่ง

ก่อนที่เราจะเลือกซื้อรองเท้าวิ่งสักคู่หนึ่ง ต้องถามตัวเองก่อนว่าเราวิ่งเพื่ออะไร เพราะการวิ่งมี 3 แบบ คือ จ๊อกกิ้ง รันนิ่ง และเทรล เหตุผลของการวิ่งจ๊อกกิ้งคือเพื่อสุขภาพ การวิ่งแบบรันนิ่งจะเป็นการอัพเลเวลมาจากจ๊อกกิ้ง วิ่งเพื่อ performance ของร่างกาย และเพื่อแข่งขัน ส่วนวิ่งเทรลเป็นการวิ่งในป่า วิ่งบนทางที่ขรุขระ

แน่นอนว่าการเลือกซื้อรองเท้ามีความสำคัญมากต่อการวิ่งแต่ละรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณเลือกวิ่งจ๊อกกิ้งเพื่อสุขภาพ ก็ต้องถามต่อว่าคุณจะวิ่งขนาดไหน วิ่งกี่กิโลเมตรต่อครั้ง สัปดาห์ละกี่วัน ถ้าวิ่งวันละ 5 – 10 กิโลเมตร การเลือกซื้อรองเท้าก็อาจไม่ต้องเลือกแบบที่ซัพพอร์ตมาก แต่ถ้าวิ่งเกิน 10 กิโลเมตร ก็ต้องดูรุ่นที่มีการซัพพอร์ตที่ส้นเท้ามากขึ้น ถ้าวิ่งแบบรันนิ่ง ต้องเลือกรองเท้าที่มีการส่งแรงเพื่อลดการใช้พลังงานของตัวผู้วิ่งเอง ช่วยทำให้วิ่งได้ยาวนานขึ้น สำหรับการวิ่งเทรลต้องเลือกรองเท้าที่มีดอกหรือพื้นรองเท้าหนากว่าปกติ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บเวลาวิ่งไปเตะก้อนหิน

ถ้าเราเลือกซื้อรองเท้าผิดประเภทอาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บและนั่นอาจเป็นสิ่งที่ทำให้คุณไม่อยากออกกำลังกายอีกเลยก็ได้ อย่างเช่นคุณต้องการวิ่งจ๊อกกิ้ง แต่คุณไปเลือกซื้อรองเท้ารันนิ่งที่เหมาะสำหรับคนที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรงแล้ว รองเท้าประเภทนี้จะไม่ค่อยมีการรองรับแรงกระแทก นั่นคือสิ่งที่จะทำให้นักวิ่งหน้าใหม่บาดเจ็บได้ เพราะความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเรายังไม่แข็งแรงเท่ากับนักวิ่งที่ซ้อมมาเป็นเวลานาน ปัจจุบันนักวิ่งหน้าใหม่ๆจะซื้อรองเท้าตามคนที่วิ่งเร็วหรือซื้อตามนักกีฬาที่แข่งขัน ไม่ได้เลือกซื้อจากการใช้งานจริงที่เหมาะสมกับตัวเรา

รองเท้าวิ่งมีกี่แบบ

แบ่งตามการลงน้ำหนักเท้า มี 4 แบบ ได้แก่

  • Neutral เหมาะกับคนที่ลงน้ำหนักเท้าปกติ ข้อเท้าตรง ไม่บิด อุ้งเท้าสูง
  • Stability เหมาะกับคนที่มีข้อเท้าตั้งตรงหรือบิดเข้าหากันแบบ Overpronate ไม่มาก อุ้งเท้าปกติ
  • Cushioned เหมาะกับคนที่อุ้งเท้าสูง ข้อเท้าโก่ง รองเท้าจึงต้องมีเทคโนโลยีเรื่องการซัพพอร์ตเท้าที่ดี
  • Motion Control เหมาะกับคนที่เท้าบิดเข้าหากันเยอะ เรียกว่า Overpronate มาก มักพบในคนที่เท้าแบน รองเท้าต้องรองรับแรงกระแทกได้ดี

แบ่งตามพื้นผิวสัมผัส มี 3 แบบ ได้แก่

  •  Road สำหรับวิ่งบนทางถนนทั่วไป
  •  Trail  สำหรับวิ่งทางขรุขระ ทางฝุ่น
  •  All Terrain วิ่งได้ทั้งทางถนนเรียบและทางขรุขระ

Drop คือ ความสูงของพื้นส้นเท้าว่าสูงกว่าพื้นหน้าเท้าแค่ไหน การเลือกค่า Drop ในการซื้อรองเท้า นักวิ่งจะต้องรู้ตัวก่อนว่าตัวเองวิ่งลงเท้าแบบไหน เพราะคุณจะต้องนำสิ่งนั้นมาบอกกับทางร้านว่าคุณวิ่งลงหน้าเท้าหรือลงส้นเท้า

Zerodrop  แบบนี้เหมาะสำหรับการวิ่งลงหน้าเท้า เน้นวิ่งเร็ว อารมณ์เหมือนเราวิ่งเท้าเปล่า การใช้รองเท้าที่มีค่า DROP เป็นศูนย์จะช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อน่องด้วย

Drop น้อยไม่เกิน 4 mm. วิ่งได้ทั้งลงหน้าเท้าและส้น เป็นค่าที่นักวิ่งส่วนใหญ่ชื่นชอบ เพราะไม่ราบและไม่สูงเกินไป ทำให้วิ่งได้นาน เหมาะสำหรับนักวิ่งหน้าใหม่และผู้ที่วิ่งเป็นประจำ

Drop มากกว่า 5 mm. เหมาะกับการวิ่งลงส้นเท้า